วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตอบคำถามเรื่องการยกระดับโลกจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 4 และ 5

ตอบคำถามเรื่องการยกระดับโลกจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 4 และ 5 !!!

Chayutt สมาชิก

ปี 2012 สาส์นแห่งการยกระดับขึ้น – จาก แมทธิว วาร์ด (Matthew Ward) สื่อสารทางจิตมาเมื่อ 7 กุมภาพันธุ์ 2009 โดย: Suzy Ward ผู้รับการสื่อสารทางจิตจาก Matthew Ward วันที่: วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธุ์ 2009

ตอนนี้ผมควรจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับความสำคัญ ของอัตตาตัวตนรวมของพวกคุณ ซึ่งในฐานะปัจเจกบุคคล พวกคุณแต่ละคนสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตนเอง แต่สำหรับโลกแห่งความเป็นจริงของโลกทั้งโลก มันเป็นผลมาจากจิตสำนึกโดยรวมของทุกสรรพชีวิตบนโลกทั้งโลก ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสภาวะต่างๆที่จะเกิดขึ้นบนโลก นี่คือเหตุผลว่าทำไมความคิดเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่พวกคุณต้องการ และโลกในแบบที่พวกคุณต้องการ จึงมีความสำคัญนักหนา

ผมขอเล่าย้อนไปสักเล็กน้อย ตอนที่คุณแม่ของผมได้ถามผมว่าเคยท้อแท้บ้างไหม๊ เพราะว่ามนุษย์จำนวนมากคิดถึงแต่เรื่องเกี่ยวกับสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น การปกครองโดยทรราช การคอรัปชั่นที่รุนแรง และเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองต่างๆ หรือแม้แต่ความกลัวว่าสภาพอันเลวร้ายของโลกในปัจจุบันนี้ จะตกทอดไปถึงชนรุ่นหลังของพวกเขา คุณแม่ของผมสงสัยว่ากระแสพลังจิตในทิศทางที่ไม่พึงปรารถนาของผู้คนเหล่านี้ มันไปส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกโดยรวมของโลก และต่อการยกระดับจิตสำนึกของโลกได้อย่างไร

ตอนนั้นผมได้บอกกับคุณแม่ของผมไปว่า ทางเลือกอิสระของดาวเคราะห์โลกเอง คือการยกระดับขึ้นไปสู่มิติที่ 5 และการเลือกเพื่อความก้าวหน้าของดาวเคราะห์โลกนี้ ไม่เพียงแต่จะมีเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและความมั่นคงเท่านั้น แต่ผลสืบเนื่อง ดาวเคราะห์โลกใบนี้กำลังมีการยกระดับขึ้นอยู่แล้ว และตอนนั้นผมยังได้บอกคุณแม่ของผมไปด้วยว่า ผมไม่ได้รู้สึกท้อแท้ไปมากกว่าความรู้สึกเสียใจกับผู้คน ที่ใช้ทางเลือกอิสระของพวกเขาเพื่อปฏิเสธแสงสว่างที่จะนำพวกเขาไปสู่การรู้แจ้งและการยกระดับขึ้นเลย

ด้วยข้อมูลพื้นฐานเล็กๆน้อยๆ ที่ว่า การยกระดับของดาวเคราะห์โลกได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ผมจึงสามารถตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ได้:-

1. มันจะเป็นการยกระดับในรูปแบบของไปทั้งกายเนื้อ หรือว่าไปเฉพาะวิญญาณในรูปแบบของกายทิพย์?

2. การยกระดับจะเกิดขึ้นในปี 2012 ใช่หรือไม่?

3. ใครหรืออะไรที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า จะให้ใครยกระดับขึ้นไปพร้อมกับโลกด้วยได้?

4. การยกระดับที่ว่านี้ หมายถึงการถูกยกขึ้นไปไว้ในยานอวกาศใช่หรือไม่?

5. ที่ชาวโลกกำลังจะถูกยกระดับขึ้น เพราะว่าดาวเคราะห์โลกกำลังจะถูกทำลายใช่หรือไม่? และถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วมนุษย์โลกจะไปอยู่ที่ไหน?

6. มันจะมีตัวชี้วัดอะไรที่ไม่ผิดพลาดบ้างหรือไม่ ที่จะบอกให้ทราบว่ามนุษย์โลกคนไหน ที่จะถูกยกระดับหรือไม่ถูกยกระดับไปพร้อมกับดาวเคราะห์โลก?

7. มนุษย์โลกจะสามารถยกระดับได้หรือไม่ หากเขายังไม่รู้ว่าอะไรคือพันธะสัญญาณทางจิตวิญญาณ สำหรับภารกิจในชีวิตนี้ของตนเอง?

8. ถ้าดาวเคราะห์โลกกำลังมีการยกระดับขึ้นจริง แล้วทำไมมันยังมีเรื่องวุ่นวายมากมายเหมือนเดิมอยู่หละ? เมื่อไหร่กระบวนการยกระดับนี้มันจึงจะสิ้นสุดลง?

9. และก็ยังมีคำถามอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ “แสงสว่าง” อีก ซึ่งเราจะกล่าวถึงในภายหลัง

ตอบคำถาม:-

1. ชาวโลกที่ได้รับ “แสงสว่างนั้น”(The light) จะมีการยกระดับทางกายเนื้อไปพร้อมๆกับดาวเคราะห์โลก ซึ่งจะก้าวหน้าไปสู่ระดับการสั่นสะเทือนของมิติที่ 4 และ 5 การดูดซับแสงสว่างนั้น จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเซลของร่างกายในมิติที่ 3 ที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลักซึ่งไม่อาจจะรอดชีวิตอยู่ได้ ในสภาวะที่มีความเข้มของแสงสว่างในระดับความสั่นสะเทือนที่สูงกว่าได้ ไปสู่โครงสร้างที่เป็นผลึก ซึ่งจะสามารถรอดชีวิตอยู่ได้ในสภาวะดังกล่าวแทน

ผมอยากจะกล่าวเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยว่า ชาวโลกที่เปลี่ยนรูปแบบชีวิตจากกายภาพไปสู่จิตวิญญาณ (ตาย) ในระหว่างที่ดาวเคราะห์โลกกำลังยกระดับอยู่นี้ รวมถึงชาวโลกที่ได้เปลี่ยนรูปแบบชีวิตไปแล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี้ จริงๆแล้วอาจจะต้องได้รับการ “ปรับให้มีคุณสมบัติเหมาะสม” ตราบเท่าที่พวกเขายังมีแสงสว่างอยู่เพียงพอ (มีความดีพอ) แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องเป็นไปตามพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณดั้งเดิม หรือพันธะสัญญาที่พัฒนาให้ดีขึ้นแล้วของพวกเขาเอง ที่ได้เลือกเอาไว้ในการมามีชีวิตอยู่ด้วย

2. การยกระดับของดาวเคราะห์โลก มันคือกระบวนการเปลี่ยนสภาพของดาวเคราะห์โลก และกระบวนการปรับสภาวะทางจิตวิญญาณใหม่ เพื่อให้ดาวเคราะห์โลกสามารถลอยสูงขึ้นเหนือมิติที่ 3 ได้ แล้วเข้าไปสู่ “ยุคทอง” (Golden Age) ต่อไปได้ กระบวนการยกระดับดังกล่าวนี้ ได้เริ่มเกิดขึ้นมานานร่วม 70 ปีของมนุษย์แล้วและบัดนี้ก็ยังคงดำเนินไปอยู่ มันจะสิ้นสุดลงในปี 2012

ความมืดที่ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา จะถูกทำให้สาบสูญไป แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่าภายหลังปี 2012 แล้ว จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก เพราะว่ามันยังจะมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆอีกมากมายที่วิเศษและยอดเยี่ยมอยู่อีกต่อไปหลายปี รวมถึงการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณและทางภูมิปัญญาด้วย ชีวิตคือกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ ชีวิตคือกระบวนการจดจำอย่างมีสติของความรู้ภายในจิตวิญญาณ (Life is a process of consciously remembering the knowledge within the soul)

3. การตัดสินว่าใครจะได้ยกระดับขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้นั้นเอง ไม่ใช่จะมีใครไปตัดสินโดยพละการให้ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแต่ละบุคคล ซึ่งได้สมัครใจเลือกที่จะเป็นแสงสว่างหรือความมืดเอง ผู้ใดที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งแสงสว่างก็จะได้ยกระดับขึ้น อย่างที่ผมเคยอธิบายไว้แล้ว และเดี่ยวอีกสักพัก ผมจะพูดถึงผู้ที่เลือกเอาความมืด

4. การยกระดับขึ้น ไม่ได้หมายถึงการถูกนำขึ้นไปไว้บนยานอวกาศ แต่อย่างไรก็ตามจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ การได้ไปเยี่ยมลูกเรือของกองทัพแห่งจักรวาลในยานอวกาศของพวกเขา ก็ถือเป็นกำไรชีวิตอีกอย่างหนึ่ง ของผู้ที่มีความสว่างไสวทางจิตวิญญาณและผู้ที่รู้แจ้งแล้วทั้งหลาย

5. ดาวเคราะห์โลกจะไม่ถูกทำลายอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม ดาวเคราะห์โลกกำลังถูกปรับสภาพ ให้กลับไปอยู่ในสภาวะที่มีสุขภาพดีเหมือนเดิม ตลอดเส้นทางแห่งกระบวนการยกระดับขึ้นนี้ และสวนแห่งเอเดน (Eden) ที่สวยงามก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง

6. มันไม่มีตัวชี้วัดที่ไม่ผิดพลาดใดๆ ที่จะบอกได้ว่าใครจะยกระดับขึ้นไปกับพร้อมกับโลกได้หรือไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่อยู่กับแต่ละบุคคลอย่างจำเพาะเจาะจงพูดสั้นๆก็คือ การยกระดับขึ้นของแต่ละบุคคล คือการรวมจิตสำนึกและวิญญาณของคนๆนั้นให้เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือในแง่มุมที่พอจะมองเห็นได้ ก็คือการยกระดับจิตสำนึก การมีพลังอำนาจในการตัดสินถูกผิดดีชั่วมากขึ้น และการมีสัญชาตญาณที่เชื่อถือได้ ซึ่งนี่ต้องเกิดจากการเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลาของการตระหนักรู้ในตัวตนรวมที่สูงกว่าของตัวเอง (higher self) หรือพระผู้เป็นเจ้า/พุทธจิต (God/Goddess self) และจิตเดิมแท้ (True spirituality) ซึ่งก็คือความรับรู้ถึงความสงบสุข ที่เกิดจากการดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การจัดสรรค์ของพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของตัวเอง

คุณรู้สึกเหมือนว่าคุณ “กำลังดำเนินตามกระแส” แทนที่จะรู้สึกว่า “กำลังทวนกระแส” การค้นพบตัวเอง อาจจะปิ๊งแวปขึ้นโดยฉับพลันในโอกาสต่างๆ ซึ่งนี่อาจจะถือเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งอาการบ่งบอกดังกล่าวนี้ ก็แปลกแตกต่างกันไป เช่น อาจจะประจักษ์ถึงวิถีทางที่ดีที่สุด ที่จะจัดการกับสถานการณ์ที่สับสนอลหม่าน หรือความสัมพันธ์ที่ยากลำบากได้ หรือ อาจจะเกิดแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนวิถีชีวิตไปสู่เส้นทางใหม่หรือสถานที่ใหม่ หรือบางทีอาจจะได้รับคำตอบของโจทย์บางอย่างก็ได้

7. กรุณาอย่าเพิ่งเป็นกังวล หากคุณยังไม่รู้ว่าพันธะสัญญาของภารกิจชีวิตของคุณคืออะไร เพราะว่ามีชาวโลกเพียงหยิบมือเดียวที่รู้เกี่ยวกับพันธะสัญญาด้านจิตวิญญาณ (Soul contract) ของชีวิตตนเอง เพียงแต่ดำเนินชีวิตไปตาม”เสียงจากภายใน”(Inner voice) ซึ่งเป็นข้อมูลการสื่อสารจากวิญญาณของคุณ ถึงจิตสำนึกของคุณเองก็เพียงพอแล้ว เพราะมันจะนำคุณไปสู่ภารกิจชีวิตของคุณเองอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งอาจแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน คุณจะพบเองว่าที่ไหนคือที่ๆต้องการคุณมากที่สุด และสามารถทำให้คุณมีคุณค่ามากที่สุด เมื่อนั้นคุณก็จะรู้สึกมั่นใจที่จะเติมเต็มเป้าหมายนั้น

กรุณาอย่ารู้สึกว่าคุณต้องไปทำภารกิจอะไรที่สำคัญและยิ่งใหญ่มากมาย เพราะว่าพวกคุณแต่ละคนนั้นมีความสำคัญอยู่แล้ว คุณอาจจะคิดเปรียบเทียบตัวคุณเองกับคนอื่นๆ แล้วคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณยังอุทิศตนเองน้อยเกินไป อย่ากระนั้นเลย ทำอย่างที่คุณเป็นจริงๆในระดับจิตวิญญาณนั้นก็เพียงพอแล้ว แม้ว่าคุณอาจจะยังไม่ตระหนักรู้ว่าคุณกำลังปฏิบัติภารกิจชีวิตตามพันธะสัญญาก่อนลงมาเกิดของคุณอยู่ก็ตาม แต่คุณก็กำลังทำมันอยู่ และกำลังแผ่กระจายแสงสว่างออกไปสู่ทุกๆชีวิตที่คุณสัมผัสพวกเขาอยู่แล้ว

8. เหตุการณ์ความไม่สงบก็ยังคงเป็นสัจธรรมของชีวิต สำหรับโลกของพวกคุณอยู่ เพราะมันเกี่ยวข้องอยู่กับ เคราะห์กรรมของชาวโลกผู้ที่จะไม่ได้ยกระดับขึ้นไปพร้อมๆกับโลก ในช่วงหัวลิ้วหัวต่อนี้ จิตสำนึกโดยรวม (The Collective Consciousness) จะยังคงได้รับอิทธิพลจากพลังแห่งความมืดที่ยังหลบซ่อนและแอบซุ่มโจมตีอยู่ ชาวโลกที่ไม่ยอมเลิกแสดงบทบาท “ผู้ร้าย” ซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยเป็นแค่ส่วนประกอบของวิบากกรรมของพวกเขาเท่านั้น (แต่เพราะว่าพวกเขาติดใจบทบาทนี้มากจนเลิกไม่ได้) จึงทำให้พวกเขาได้กลายไปเป็นนักโทษของความมืดไปเสียแล้ว

และเพราะว่าดาวเคราะห์โลกกำลังเคลื่อนเข้าไปสู่ระดับคลื่นความสั่นสะเทือนที่มีความถี่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวโลกคนไหนที่จมปรักอยู่แต่ในโลกมืด มีความโหดเหี้ยมไร้จิตสำนึก กระหายอำนาจ ซึ่งคนเหล่านี้บางส่วนอยู่ในชนชั้นปกครอง บางส่วนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอะไรๆที่เกี่ยวข้องกับสาธารณชน จะต้องตายไปจากโลกนี้ และเพราะว่าพวกเขาเหล่านั้น ปราศจากพลังงานแห่งแสงสว่าง ที่เป็นพลังชีวิตของวิญญาณที่สำคัญ ดังนั้นร่างกายของพวกเขาจะตาย ส่วนวิญญาณของพวกเขาจะดิ่งลงไปสู่ระนาบต่างๆที่มีระดับพลังงานหนาทึบมากๆ ที่เหมาะเจาะกับรูปแบบพลังงานที่ถูกบันทึกไว้ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา ซึ่งในสถานที่เหล่านั้นมันจะมีลำแสงสว่าง ลำหนึ่ง ถูกส่งไปให้อย่างต่อเนื่อง และถ้าพวกเขายอมรับมัน จิตสำนึกของพวกเขาก็จะถูกดึงขึ้นมา

9. และตอนนี้เราจะมาพูดถึงผู้ที่ “จะว่าดีก็ไม่ใช่ จะว่าร้ายก็ไม่เชิง” กัน มันอาจจะดูเหมือนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตสำนึกมวลรวมอยู่เพราะว่าคนประเภทนี้ กำลังแกว่งสลับไปมาระหว่างความดีและความชั่ว พวกเขาปิดๆเปิดๆใจของตนเองในการยอมรับจิตสำนึกที่สูงกว่า ซึ่งคลื่นความถี่ที่สูงกว่าที่เกิดจากหนทาง แห่งการยกระดับขึ้นของโลกเป็นผู้มอบให้ ถ้าพวกเขายังแกว่งไปมาอยู่แบบนี้นานเกินไป พวกเขาก็จะยังติดอยู่ในโลกมิติที่ 3 ที่มีข้อจำกัดด้านจิตวิญญาณและภูมิปัญญาเป็นอย่างมาก

แต่ได้โปรดรู้ไว้ด้วยว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนเลว เพียงแต่พวกเขาเลือกที่จะปิดใจ มากกว่าเปิดใจเท่านั้นเอง จิตวิญญาณแห่งแสงสว่างที่อยู่ในทุกๆภพภูมิกำลังลุ้นและเชียร์คนประเภทนี้ทุกๆคนอยู่ เพราะอยากให้พวกเขาตอบสนองต่อแสงสว่างและตื่นขึ้นมาได้ทันเวลา ที่จะได้เข้าไปสู่ยุคทองพร้อมๆกับโลก

ที่มา http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8...193101-21.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม