วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำทำนายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

คำทำนายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

หลวงพ่อท่านบอกว่า อ่านพบคำทำนายนี้อยู่ในสมุดข่อยที่พระอรหันต์ในอดีตนามว่า "พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนทำนายชะตาบ้านเมืองไว้ ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตก และก่อนที่กรุงเทพฯ จะมีขึ้น!

ตอนหนึ่ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกล่าวว่า

"ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?"

"เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า

พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ องค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้น ก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐ เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็น ผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก"

ท่านก็คงอยากทราบกันนะครับว่า "แล้วหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ทำนายอนาคตบ้านเมืองไว้อย่างไรบ้างหรือเปล่า?"

ก็เห็นมีเขียนเป็นกลอนต่อท้ายไว้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่จากปากหลวงพ่อ เข้าใจว่าผู้รวบรวมธรรมบรรยาย คงนำที่หลวงพ่อทำนายไว้มาเรียบเรียงอีกต่อ ก็ยาวสักหน่อย แต่ผมจะนำที่ท่านร้อยไว้มาดับร้อนยามสังคมแล้ง ดังนี้

คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก
เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย
เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง
น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา
เป็นประชาชนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน
ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร
องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส
แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน
เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง
ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา
ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม
สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป
โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว
ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี
เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ
มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน
พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก
เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย
เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช
ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล
จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศ
ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม
ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง
จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว
ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง

ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง
สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม
หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้

จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป
เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น
แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ.

นาซ่า เผยความจริงเรื่อง"วันสิ้้นโลก2012 "

เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่า (NASA) เปิดเผยถึงข่าวที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วอินเทอร์เน็ตที่ว่า โลกจะถึงคราวสิ้นสุดลงในปี 2012 ด้วยเหตุผลทางดาราศาสตร์ เป็นแค่ "ข่าวลือ" เท่านั้น โดยด็อกเตอร์มอร์ริสัน ระบุว่า อาการ "วิตกจักรวาล" (cosmophobia) ถูกยัดเยียด โดยเว็บไซต์วิทยาศาสตร์ "ปลอม" และ ผู้ที่พยายามจะหาเงิน จากความไม่รู้ของสาธารณชน

ความเชื่อ ที่แพร่กระจายอยู่บนเน็ต ที่ว่า วันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็นวันโลกาวินาศ (doomsday) เนื่องจาก เหตุการณ์บางอย่าง ที่เกิดขึ้นในจักรวาลจะทำลายโลก กลายเป็นเรื่องหลอกลวง โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจาก ด็อกเตอร์เดวิด มอร์ริสัน นักวิทยาศาสตร์นาซ่า ซึ่งข้อสรุปของคำอ้างต่าง ๆ และการโต้ตอบของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องดังกล่าว กำลังได้รับการเผยแพร่โดย สมาคมดาราศาสตร์แห่งภาคพื้นแปซิฟิก

หลายเดือนที่ผ่านมา ทาง นาซ่า และ นักบินอวกาศหลายคน ได้รับจดหมาย และอีเมล์ แสดงความวิกตกังวล จากข่าวสารที่มีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ถึงความเป็นไปได้ที่ โลกจะถึงคราววินาศ และ ความสูญเสียของชีวิตมนุษย์อย่างมากมาย ในปี 2012 เหตผลและเงื่อนไข ที่จะทำให้โลกแตก ได้รับการนำเสนอ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การพุ่งชนของดาวเคราะห์ ชื่อว่า Nibiru จุดดับบนดวงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตำแหน่งใหม่ของการจัดวางศูนย์กลางกาแล็กซี่ และอื่น ๆ อีกสารพัด เดวิด มอร์ริสัน บัญญัติอาการหวาดวิตกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "cosmophobia" ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วโลกในวงกว้าง

ด็อกเตอร์ มอร์ริสัน ผู้เชี่ยวชาญระบบสุริยจักรวาล (solar system) ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก และ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่ เผยแพร่ข่าวสารของนาซ่า บริการ " Ask an Astobiologist " โดยเขาจะตอบคำถามต่าง ๆ ให้กับสาธารณชน ซึ่งเขาได้รับคำถามมากมาย เกี่ยวกับ ปี 2012 โลกาวินาศ จนรู้สึกว่า เขาต้องสืบหาต้นตอ และ ความจริงในเรื่องนี้ ประเด็นที่เขาให้ความสนใจมากที่สุด ในการค้นหา ก็คือ ผู้แพร่กระจายหลายราย เริ่มต้นจากภาพยนต์ " 2012 " โดยการสร้างเว็บไซต์วิทยาศาสตร์ " ปลอม " และ กระตุ้นให้ผู้คนค้นหาคีย์เวิร์ด " 2012 " บนเว็บ ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ค้นพบได้ จะเต็มไปด้วยข้อมูลไร้สาระ และ ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะ ผู้ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับความหายนะ ที่พยายามจะขายหนังสือของพวกเขา

บทความของมอร์ริสัน จะอยู่ในรูปของคำถามและคำตอบ ตามด้วยแนะนำแหล่งข้อมูลวิทยาศาสตร์ ที่ผู้อ่านสามารถค้นหาเกียวกับเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงไม่มีการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดความหายนะ ในปี 2012 มันมีเหตุผลมากมายที่น่ากังวลเกียวกับอนาคตของโลก แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีเหตุผล หรือ กำหนดช่วงเวลาที่โลกจะแตกในปีนั้น ๆ ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่แนะนำ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สิ่งแปลก ๆ หรือ เหตุการณ์ประหลาดต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่โกหกทั้งเพ

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

3 โนเบลฟิสิกส์พบจุดจบเอกภพจะหนาวเหน็บ

3 โนเบลฟิสิกส์พบจุดจบเอกภพจะหนาวเหน็บ

เคยคิดไปไกลถึงจุดจบของเอกภพของเราว่าจะเป็นเช่นไรไหม? บางทีเอกภพอันกว้างใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการเราจะไปถึงอาจพบจุดจบที่ความหนาวเย็นยะเยือก เมื่อพิจารณาตามการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลฟิสิกส์ปีล่าสุด ซึ่งค้นพบว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร่งคงที่ และแม้แต่พวกเขาเองยังแปลกใจต่อการค้นพบดังกล่าว

ข่าวแจกจากเว็บไซต์รางวัลโนเบลระบุว่า เมื่อปี 1998 รากฐานของจักรวาลวิทยาถูกสั่นสะเทือน เนื่องจากการค้นพบของ 2 ทีมวิจัย ทีมหนึ่งนำโดย ซอล เพิร์ลมุตเตอร์ (Saul Perlmutter) ซึ่งได้เริ่มศึกษาวิจัยที่นำมาสู่การค้นพบที่สำคัญตั้งแต่ปี 1988 อีกทีมนำโดย ไบรอัน ชมิดท์ (Brian Schmidt) ที่ได้เริ่มต้นวิจัยในช่วงปลายปี 1994 และ อดัม รีสส์ (Adam Riess) ได้มีบทบาทสำคัญดังกล่าว

ทั้งสามคนเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2011 จากการค้นพบว่าเอกภพของเรากำลังขยายด้วยอัตราเร่งคงที่ จากการศึกษา “ซูเปอร์โนวา” หรือดาวที่เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ซึ่งในคำแถลงของคณะกรรมการรางวัลโนเบลระบุว่าการศึกษาของพวกเขาได้เปลี่ยนความเข้าใจของมนุษยชาติที่มีเอกภพ

ทีมวิจัยทั้งสองได้แข่งกันทำแผ่นที่เอกภพ โดยระบุตำแหน่งของซูเปอร์โนวาที่อยู่ไกลที่สุด และด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่ทรงประสิทธิภาพทั้งบนพื้นโลกและในอวกาศ รวมถึงคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังงานและเซนเซอร์บันทึกภาพดิจิทัลชนิดใหม่ที่เรียกว่า “ซีซีดี” (CCD, อีกผลงานรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2009) เปิดโอกาสให้เราได้พบชิ้นส่วนของปริศนาแห่งจักรวาลอันน่ามึนงงมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990

ชนิดของซูเปอร์โนวาที่ทั้งสองทีมนำมาศึกษาคือชนิด Ia ซึ่งซูเปอร์โนวาชนิดนี้คือการระเบิดของดาวขนาดเล็กที่หนักพอๆ กับดวงอาทิตย์ของเรา แต่มีขนาดเท่าๆ กับโลก และซูเปอร์โนวาหนึ่งสามารถปลดปล่อยแสงออกมาได้มากเท่ากับกาแลกซีทั้งหาแลกซี แต่โดยรวมแล้วพวกเขาพบว่าซูเปอร์โนวาไกลๆ กว่า 50 ซูเปอร์โนวานั้นมีแสงหรี่กว่าที่คาด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการขยายตัวของเอกภพนั้นมีอัตราเร่ง และทั้ง 2 ทีมวิจัยก็ได้ข้อสรุปอันน่าประหลาดใจนี้ตรงกัน

เป็นเวลาเกือบทศวรรษที่นักวิทยาศาสตร์ทราบกันว่าเอกภพกำลังขยายตัว อันเป็นผลต่อเนื่องจากการระเบิดบิกแบง (Big Bang) เมื่อ 1.4 หมื่นล้านปีก่อน แต่การค้นพบว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร่งนั้นเป็นเรื่องชวนให้ตกตะลึง หากการขยายตัวด้วยความเร็วที่มากขึ้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ที่สุดเอกภพจะพบจุดจบที่ความหนาวเย็นยะเยือก โดยเชื่อว่าปัจจัยที่ทำให้เอกภพขยายตัวด้วยอัตราเร่งคือ “พลังงานมืด” (dark energy) ซึ่งเอกภพของเราประกอบด้วยพลังงานมืดมากถึง 3 ใน 4

“การค้นพบนี้ได้ช่วยเปลือยเอกภพที่ยากจะรูถึงขอบเขตอันกว้างขวาง เปรียบเทียบการค้นพบดังกล่าวเหมือนการโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศ แล้วเฝ้ามองลูกบอลนั้นค่อยๆ ลับตาไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่มากขึ้นและมากขึ้น ราวกับว่า แรงโน้มถ่วงไม่มีสามารถดึงลูกบอลกลับมาได้ บางอย่างที่คล้ายๆ กันนี้กำลังเกิดขึ้นในเอกภพของเรา” เอเอฟพีระบุคำอธิบายของคณะกรรมการระหว่างแถลงผลงาน

สำหรับเพิร์ลมุตเตอร์วัย 52 ปี หัวหน้าจากห้องปฏิบัติการเบิร์กเลย์สหรัฐฯ (Berkeley National Laboratory) ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ จะได้รับรางวัลครึ่งหนึ่งของเงินรางวัลทั้งหมด 10 ล้านโครน หรือ กว่า 46 ล้านบาท ส่วนชมิดท์วัย 44 ปี จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University) และ รีสส์ วัย 41 ปี ศาสตราจารย์ดาราศาสตร์และฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) ในบัลติมอร์ แมรีแลนด์ สหรัฐฯ จะแบ่งรางวัลอีกครึ่งที่เหลือร่วมกัน


ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000126448

บทความที่ได้รับความนิยม