วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รู้ไหมว่า... คำทำนายโลกแตกมีมาแล้วกี่ครั้ง??

รู้ไหมว่า... คำทำนายโลกแตกมีมาแล้วกี่ครั้ง??




ใครยังแอบลุ้นอยู่ว่า 21/12/12 จะเกิดภัยพิบัติอะไรยังไง เกี่ยวเนื่องการกับการสิ้นสุดของปฏิทินมายา อันเป็นที่มาของการทำนายวันสิ้นโลกอยู่นั้น หันมาอ่านกันดูว่า กว่าเราจะอยู่กันถึงเวลานี้ มีคำทำนายวันสิ้นโลกมาแล้วหลายหน มีครั้งไหนใกล้เคียงความจริงบ้าง ...

1999 คำทำนายของ “นอสตราดามุส”

ก่อนกระแสวันสิ้นโลกของปฏิทินมายา เชื่อว่าคำทำนายจาก “นอสตราดามุส” ดูเหมือนจะทรงอิทธิพลที่สุด จากบันทึกของเขาที่ตีพิมพ์ในปี 1555 ในฐานะโหราจารย์ชื่อดังแห่งฝรั่งเศส ซึ่งทำนายเรื่องราวไว้หลายเหตุการณ์ หนึ่งในนั้นคือ “วันสิ้นโลก”

ในบันทึกของเขาระบุว่า “ในปี 1999 เดือนที่ 7 (สิงหาคม 1999) จะมีราชาแห่งความน่าสะพรึงกลัวมาจากฟากฟ้า” และนั่นอาจนำไปสู่หายนะของโลก

เมื่อนำมาตีความในหลายๆ แบบ ก็เชื่อว่าอาจจะมีดาวเคราะห์ดวงใหญ่พุ่งชนโลก แต่ต่อมาเมื่อเกิดสถานการณ์อันตึงเครียดระหว่างอเมริกากับอิรัก ก็ทำให้เกิดการพุ่งเป้าไปที่การเกิด “สงครามโลกครั้งที่ 3” ราชาแห่งความน่าสะพรึงจึงหมายถึงประธานาธิบดีอิรัก “ซัดดัม อุสเซน”

แต่แล้วเหตุการณ์สงครามแม้จะร้ายแรงและยืดเยื้อ แต่ก็ไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้โลกหายนะ และไม่ได้กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่อย่างใด

1666 ปีอาถรรพ์ 666

เลข 666 ตามความเชื่อของคริสเตียนว่าเป็นเลขแห่งปิศาจและความชั่วร้าย ชาวคริสต์ในยุโรปต่างกังวลกับการมาถึงของปี 1666 นี้ ว่าจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ โดยในปีก่อนหน้าได้เกิดกาฬโรคระบาดคครั้งใหญ่คร่าชีวิตชาวลอนดอนไปนับแสน จึงนำไปสู่คำทำนายวันสิ้นโลกในปี 1666

และวันที่เลวร้ายที่สุดแห่งปีก็มาถึง ในวันที่ 2 กันยายนเกิดไฟไหม้ร้านเบเกอรีในลอนดอน ไฟโหมกระหน่ำ 3 วันกว่าจะมอด เผาอาคารไปกว่า 13,000 หลัง ชาวเมืองอีกนับหมื่นไม่มีบ้านอยู่อาศัย มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่า 10 ราย และโลกก็ยังไม่ได้พังทลายแต่อย่างใด

1910 ดาวหางฮัลเลย์ พาสารพิษสู่โลก

ตั้งแต่ปี 1881 ที่นักดาราศาสตร์ค้นพบว่า หางของดาวหางนั้นมีก๊าซไซยาโนเจน (สารไซยาไนด์) ปนอยู่ จึงได้สร้างความตื่นตระหนกว่า ถ้าดาวหางโคจรผ่านโลก ชาวโลกก็จะอาบสารพิษมรณะนั้นไปด้วย ซึ่งดาวหางที่จะมาเยือนถัดไปคือ “ฮัลเลย์” ในปี 1910 ความวิตกดังกล่าวได้รับการตีพิม์ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ และฉบับอื่นๆ จนทำให้เกิดความตื่นกลัวไปทั่วโลก

แต่ในที่สุดแล้ว ก็มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ออกมาช่วยอธิบายว่า การโคจรของดาวหางไม่สร้างอันตรายให้ชาวโลกได้ขนาดนั้น

2000 ขึ้นศตวรรษใหม่ อาจกลายเป็นอวสาน

หลายคนคงผ่านช่วงเวลาเข้าสู่ปี 2000 อันคือ “ยุคมิลเลเนียม” พร้อมๆ กับปัญหา วายทูเค (Y2K) เมื่อการก้าวเข้าสู่วันที่ 1 มกราคม 2000 จะกลายเป็นการสร้างปัญหาให้ระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลก มีการคาดการณ์ไว้ในช่วงปี 1970 ว่า ระบบคอมพิวเตอร์อาจจะไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของศตวรรษได้ จากการปรับนาฬิกาสู่ 2000 อาจกลับไปสู่ 1900 แทน อันจะนำไปสู่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย และหายนะตามมา

แต่แล้วการฉลองศตวรรษใหม่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี วายทูเคไม่ได้สร้างปัญหาตามที่คาด ทว่ามีจุดจบใหม่ที่ชาวโลกต้องกังวล นั่นคือ 5/5/2000 วันที่ 5 พฤษภาคม 2000 เป็นวันที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกจะหนาถึง 3 ไมล์ นั่นเป็นผลให้ชาวโลกล้มตายด้วยความเหน็บหนาว ... แต่เหตุการณ์ก็ไม่เป็นเช่นนั้น อาจต้องขอบคุณภาวะโลกร้อนที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้

2011 วันพิพากษา

ถัดมาปีก่อนหน้านี้ ในเดือนพฤษภาคม ฮาโรลด์ แคมปิง (Harold Camping) นักเทศน์ทางวิทยุ ได้สร้างความตระหนกให้แก่ชาวโลก ด้วยการประกาศคำทำนายว่า วันที่ 21 พฤษภาคม 2011 คือวันพิพากษา ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการเกิดแผ่นดินไหวไปทั่วโลก และหายนะจะต่อเนื่องยาวไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคมปีเดียวกัน และโลกจะสูญสิ้นในวันนั้น

ทว่า ทั้งวันพิพากษาและวันสิ้นโลกของแคมปิงก็ผ่านไปอย่างเงียบๆ และต่อมาเขาก็อธิบายว่า แผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ทางกายภาพ แต่เป็นแผ่นดินไหวทางจิตวิญญาณ และพระเจ้าก็ได้พิพากษาเหล่าวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ... โดยไม่มีใครรู้ตัว

2011 เด็กชายปลาบู่ผู้ระลึกชาติได้

เรื่องนี้คงเป็นที่ฮือฮา และใกล้ตัวเราที่สุด วันสิ้นโลกฉบับไทยๆ ยังไม่มีบันทึกไว้ในระดับสากล เหตุเกิดเมื่อปลายปี 2011 ผ่านทางยูทูบที่ชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็นพ่อของ “เด็กชายปลาบู่” ได้เล่าเรื่องราวของลูกชาย เป็นคำทำนายจากการระลึกชาติได้ ว่าจะมีการเกิดภัยพิบัติในช่วงเวลาต่างๆ และอันใกล้ที่สุดก็คือช่วงวันปีใหม่ที่ผ่านมา จะมีเหตุการณ์เขื่อนแตก แผ่นดินไหว มีผู้เสียชีวิต แต่แล้วคำทำนายดังกล่าวก็ไม่เป็นจริง

ตอนนี้เราเพียงแต่รอว่า วันที่ 21/12/12 จะเป็นอีกวันที่ผ่านไป จากนั้นยังมีคำทำนายถึงหายนะและวันสิ้นโลกอีกมากมายหลายฉบับ มีเว็บไซต์แห่งหนึ่งได้รวบรวมสารพัดคำทำนายเหล่านี้ไว้ แทบจะเรียกได้ว่า มีคำทำนายถึง “วันสิ้นโลก” เกือบทุกปีทีเดียว ถ้าหลังวันที่ 21 ธันวาคมนี้ เรายังอยู่กันพร้อมหน้า ลองแวะไปดู manyends.com รอรับคำทำนายรอบถัดไปกันได้


ไม่ต้องห่วงว่า หลังจากปีนี้ไปแล้วเราจะมีอะไรตื่นเต้นอีก รับรองว่ามีไปจนเกือบหลายพันล้านปีข้างหน้าเชียวแหละ ไปดูเองละกันที่ http://newloren.com/lorenendings/pick_a_year.html ครับ

ตัวอย่างเช่น

ปี 2013




ปี 2014



ปี 2019



เลยข้ามไปถึงปี 3000 เลยเอ้า!!



หรือจะปีสุดท้ายจริงๆ คือ ปี 4,500,000,000



ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000153571

ยังไม่จบ! สาวกลัทธิวันสิ้นโลกอ้าง 1 ม.ค. 2017 มนุษย์ถึงกาลอวสานอีกรอบ

ยังไม่จบ! สาวกลัทธิวันสิ้นโลกอ้าง 1 ม.ค. 2017 มนุษย์ถึงกาลอวสานอีกรอบ
เดลิเมล์ - ขณะที่โลกเพิ่งผ่านพ้นช่วงแห่งความหวาดผวาตื่นกลัว "วันโลกาวินาศ" ในวันศุกร์ (21) มาได้ไม่นาน ก็มีสาวกวันสิ้นโลกออกมาอ้างอีกว่า กาลอวสานของโลกที่แท้จริงคืออีก 4 ปีข้างหน้า ในวันที่ 1 มกราคม ปี 2017 ต่างหาก

สมาชิกของลัทธิ สวอร์ด ออฟ ก๊อด บราเธอร์ฮูด (The Sword of God Brotherhood) เผยว่า ศาสดาแกเบรียลของพวกเขาบอกว่า "เวลามรณะ" จะมาถึงในวันที่ 1 มกราคม ในอีก 4 ปีข้างหน้า และจะมีเพียงแค่สาวกของลัทธิเท่านั้นที่รอดชีวิต ส่วนคนอื่นๆ จะต้องตายในไฟนรก

คำทำนายที่สิ้นหวังนี้เปิดเผยหลังจากผู้คนในหลายมุมโลกเตรียมตัวรับการอวสานของโลก ในเวลา 11.11 น. วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม เมื่อปฏิทินของชาวมายา อารยธรรมอันรุ่งเรืองแต่โบราณ ที่มีอายุ 5,126 ปีสิ้นสุดลง

ผู้ที่เชื่อในคำทำนายวันสิ้นโลกหลายสิบคนได้ปีนขึ้นไปบนภูเขาปี เดอ บูกาคาจ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์ต่างดาว ที่ซ่อนตัวอยู่ตามหินผา และยังเชื่อว่า สถานที่แห่งนี้เป็นที่ปลอดภัยเพียงแห่งเดียว จากคลื่นยักษ์สึนามิ ที่จะกวาดล้างทำลายโลก

ด้าน ฌอง-ปิแอร์ เดอลอร์ด นายกเทศมนตรีบูคาราจ ระบุว่า สถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องน่าขำ และขอให้โลกอย่าหลั่งไหลเข้ามายังเมืองเล็กๆ แห่งนี้

เอียน นาโปลิตาโน วัย 47 ปี จากเมอร์ซีย์ไซด์ ซึ่งไปยังสถานที่ดังกล่าว พร้อมเรือบดลำหนึ่ง เพื่อพร้อมรับคลื่นยักษ์ เผยกับหนังสือพิมพ์เดอะซันว่า "ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ผมดีใจสุดๆ ที่โลกยังไม่สูญสิ้น"

ด้าน ชาวมายาก็ฉลองวาระสิ้นสุดวัฏจักรที่ 13 ตามปฏิทินสุริยะ ณ วิหารแกรนด์ จากัวร์ ในกัวเตมาลา ผู้คนบางส่วนก็ไปรวมตัวกันที่สโตน เฮนจ์ เพื่อเฝ้าดูช่วงที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ในฤดูหนาว

นอกจากนี้ ยังมีคำทำนายวันสิ้นโลกอื่นๆ ซึ่งรวมถึง วันพิพากษาที่จะเกิดขึ้นในปี 2023 ตามคำกล่าวอ้างของนักทฤษฎี เอียน เกอร์นีด้วย

ขณะที่ นักบุญมาลาคี ชาวไอริชเคยพยากรณ์ไว้ในปี 1143 ว่า ก่อนจะถึงกาลอวสานของโลกนั้นจะต้องมีพระสันตะปาปาอีก 112 พระองค์ ซึ่งพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 องค์ปัจจุบัน นับเป็นโป๊บองค์ที่ 111

อย่างไรก็ตาม คำทนายที่สมเหตุสมผลกว่า ได้ประมาณว่าในปีคริสตศักราช 4,500,000,000 พระอาทิตย์ขยายขนาดจนดูดกลืนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ทั้งดาวพุธ ดาวศุกร์ รวมถึงโลก และอาจแผ่ขยายไปถึงดาวอังคารด้วย



พิธีฉลองการสิ้นสุดวัฏจักร ณ วิหารโบราณ แกรนด์ จากัวร์ ในกัวเตมาลา


ผู้คนจำนวนรวมตัวกันที่สโตน เฮนจ์ ในเวลาที่เชื่อว่าเป็นกาลอวสารของโลก


ที่มา
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000155253

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ชาวรัสเซีย หวั่นกระแส วันสิ้นโลก 21/12/2012 แห่ตุนเสบียง

เรื่องนี้ยังไม่จบ
ชาวรัสเซีย หวั่นกระแส วันสิ้นโลก 21/12/2012 แห่ตุนเสบียง

ชาวเมืองชิต้า ในแคว้นไซบีเรีย รัสเซีย หวั่นวิตกกระแสวันสิ้นโลก ตามคำทำนายชาวมายาโบราณ แห่กักตุนอาหาร, เทียน, ไฟฉาย และของจำเป็น
          สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ร้านขายของแห่งหนึ่งในเมืองชิต้า แคว้นไซบีเรียของรัสเซีย กำลังเร่งหาเทียนไขเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า เนื่องจาก ชาวบ้านตื่นตระหนกวันสิ้นโลก ตามคำทำนายชาวมายาโบราณ ซึ่งร้านค้าบางรายผลิตชุดเครื่องมือรับวันสิ้นโลกออกมาวางจำหน่าย ซึ่งประกอบด้วย ปลากระป๋อง ไม้ขีดไฟ เทียนไข  สบู่ เชือกยา ผ้าพันแผล สมุดโน้ต และแน่นอนว่า ต้องมี วอดก้า เหล้าดังของรัสเซียด้วย
          โดยที่เมืองบาร์นวล ชาวบ้านผู้ตื่นตระหนกแห่กวาดซื้อไฟฉายและกระติกน้ำจนหมดตลาด ส่วนที่เมืองโอมุตนินส์ค ในแคว้นคิรอฟ ชาวบ้านก็พากันแห่ซื้อน้ำมันก๊าด เสบียงและอุปกรณ์อื่น ๆ หลังหวาดผวาต่อบทความของพระทิเบตรูปหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ซึ่งยืนยันว่า โลกจะสิ้นสลายในวันที่ 21 ธันวาคม ด้านเมืองโนโวคซเนทส์ที่เป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เกลือเริ่มขาดตลาด ชาวบ้านขอให้เตรียมการรับมือกับเหตุไฟดับและการปล้น
<b>หาความจริงของ นิบิรุ - พายุสุริยะ วันสิ้นโลก 2012 ในเจาะข่าวเด่น</b>
กำลังเป็นที่สนใจอย่างมากเลยทีเดียว... สำหรับวันที่ "21 ธันวาคม 2012" ที่ใกล้จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินมายา และเชื่อกันว่าเป็น "วันสิ้นโลก" ทั้งนี้ ทั่วโลกก็ต่างจับตามองเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะต่างประเทศที่ค่อนข้างตื่นตัวและให้ความสนใจอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีนักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ต่างออกมาระบุว่า "วันสิ้นโลก" ไม่มีจริง และวันที่ 21 ธันวาคม ก็เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังมีบางคนที่เชื่อ และยังส่งต่อจดหมายลูกโซ่ ที่ระบุถึงเหตุการณ์ของ "วันสิ้นโลก" 5 รูปแบบแตกต่างกันไป
            เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางรายการ "เจาะข่าวเด่น" (10 ธันวาคม) จึงได้เชิญ อาจารย์สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าว
            โดยอาจารย์สธน ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า... ตนได้จดหมายลูกโซ่ที่ระบุถึงข้อสันนิษฐานที่จะทำให้โลกแตก 5 ข้อ มาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งพอมาถึงวันนี้ก็มีข้อมูลปรับเปลี่ยนไปเยอะมาก ส่วน 5 ข้อที่กล่าวนั้นมีดังนี้...
            - ดาวเคราะห์นิบิรุ จะพุ่งชนโลก
            - พายุสุริยะจะแตกตัว
            - สนามแม่เหล็กโลกกลับขั้ว
            - ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน จนเกิดผลกระทบทำให้โลกแตก
            - โลกจะหลุดเข้าไปในหลุมดำ
            ทั้งนี้ ในวันที่ปฏิทินระบุว่า วันที่ 21 ธันวาคม จะเป็นวันสุดท้ายของโลก ซึ่งเหตุการณ์ทั้ง 5 เหตุการณ์ข้างต้นไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเกิดในวันดังกล่าว
            อาจารย์สธน ระบุว่า จาก 5 เหตุการณ์นั้น มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับภาพยนตร์ถึง 4 เรื่อง เรื่องแรกที่เราจะพูดถึงกันนั้นก็คือเรื่อง "ดาวเคราะห์นิบิรุ" ที่มีเรื่องราวคล้ายภาพยนตร์เรื่อง "อามาเกดอน" ทั้งนี้ ในจดหมายลูกโซ่ได้บันทึกว่า ดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวจะเคลื่อนที่เข้ามาโดยที่โลกมองไม่เห็น และพุ่งชนโลกจนทำให้โลกแตกเหมือนกับเรื่องอามาเกดอนที่ดาวเคราะห์จะพุ่งชนเท็กซัส สหรัฐฯ แต่ในความเป็นจริงทางด้านฟิสิกส์แล้ว เมื่อดาวเคราะห์ หรือวัตถุใดเคลื่อนเข้ามาใกล้ระบบสุริยะ ก็จะทำให้ดาวเคราะห์ที่อยู่ในวงโคจรมีการเปลี่ยนแปลง เฉกเช่น เหตุการณ์เมื่อสมัยปี 1846 ที่เราค้นพบดาวเนปจูน และปี 1930 ที่พบดาวพลูโต ซึ่งในขณะนั้นนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ เห็นความเปลี่ยนแปลงของดาวเสาร์ และดาวพฤหัส จนทำให้เราทราบว่า มีดาวที่อยู่ต่อจากนั้นอีก 2 ดวง เพราะวงโคจรของดาวพฤหัสเกิดการขยับ และหากดาวพฤหัสเกิดการเปลี่ยนแปลงยังไงเราก็ต้องรู้อยู่แล้ว เพราะดาวพฤหัสทำหน้าที่เหมือนยามประตูของระบบสุริยะ และปกป้องระบบสุริยะส่วนใน ซึ่งหากมีดาวดวงใดที่เล็กกว่าดาวพฤหัส เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ มันก็จะดึงเข้าไปหมด อาทิ เช่น ดาวหางต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งหากมีดาวเคราะห์นิบิรุจริง เราก็จะเห็นก่อนอย่างแน่นอน
และนอกจากดาวพฤหัสที่ทำหน้าที่เหมือนยามให้กับระบบสุริยะแล้ว โลกของเรายังมียามเป็นกล้องอินฟาเรดจับคลื่นความร้อนที่มองไม่เห็น อีกทั้งยังมีนักดาราศาสตร์ทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่น คอยมอนิเตอร์จับตามองระบบสุริยะตลอด 24 ชั่วโมง โดยพวกเขาจะมีฮอตไลน์สายตรง สามารถโทรติดต่อให้มีการตรวจสอบได้ทันที หากพบเห็นสิ่งปกติอะไรในระบบสุริยะ
            ถ้าถามว่า เหลืออีก 11 วัน หากมีดาวเคราะห์นิบิรุจริง จะเคลื่อนที่มาถึงดาวดวงไหนแล้ว อาจารย์สธน กล่าวสั้น ๆ เพียงว่า... เคลื่อนที่มาได้แค่เพียงจินตนาการเท่านั้น แต่ทั้งนี้หากมาจริง ๆ เหมือนในหนังอามาเกดอน อย่างไรก็ไม่รอดเหมือนในหนังแน่นอน เพราะเราไม่สามารถระเบิดดาวเคราะห์ได้ ซึ่งหากระเบิดได้ก็ต้องใช้ยูเรเนียมเป็นตัน ๆ  ส่วนคำว่า "นิบิรุ" นั้น ตนคิดว่าเป็นการแปลความมาอย่างผิดเพี้ยน เพราะจริง ๆ แล้ว คำคำนี้อยู่ในบันทึกของชาวสุเมเรียน แถบตุรกี  ที่ชื่อว่า เอสแทค แต่ก็ไม่รู้ว่าคำคำนี้ มาโผล่ในบันทึกของชาวมายาที่อยู่ในกัวเตมาลาได้อย่างไร

            ต่อกันด้วยเหตุการณ์ที่ 2 อย่าง "พายุสุริยะ" ซึ่งเชื่อกันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินไหว ระบบการปกป้องของโลกจะอ่อนแอลง ทำให้ของเหลวที่อยู่ในโลก แปรปรวน เปลี่ยนแปลง จนทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ซึ่งก็มีสัญญาณภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วมใหญ่ ในหลายประเทศช่วงปีนี้
            ด้าน อาจารย์สธน กล่าวว่า โลกของเราในช่วงนี้เรียกว่าช่วง "โซลาร์แม็กซิมัม" หรือช่วง "อาทิตย์กัมมันต์" ซึ่งเกิดขึ้นทุก 11 ปี และเกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาแล้วเมื่อปี 2000 ทั้งนี้ ช่วงอาทิตย์กัมมันต์นั้น เป็นการเกิดปฏิกิริยาของดวงอาทิตย์เอง หากเปรียบเทียบก็คล้าย ๆ กองไฟที่มีเปลวเพลิงกำลังประทุ ซึ่งจะส่งผลต่าง ๆ ในรอบ ๆ บริเวณนั้น ส่วนพายุสุริยะที่เข้าใจกัน จริง ๆ แล้วเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน และความรุนแรงก็แตกต่างกัน แต่มีผลกระทบแค่เพียงระบบการสื่อสารในบริเวณชั้นบรรยากาศเท่านั้น
สำหรับเรื่องการเกิดแผ่นดินไหวที่เชื่อมโยงกับพายุสุริยะ อาจารย์สธน ได้นำกราฟมาให้ชมเพื่อเปรียบเทียบ โดยสีแดงแทนเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่วนสีน้ำเงินแทนเหตุการณ์พายุสุริยะ ซึ่งเมื่อดูจากกราฟแล้วจะเห็นได้ว่าสีน้ำเงินจะมีกราฟที่สูงต่ำแตกต่างกันไป แต่สีแดงที่เป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น เกิดขึ้นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเกิดพายุสุริยะหรือไม่นั้น ไม่มีผลที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวมากขึ้นหรือน้อยลง
            อย่างไรก็ตาม นิสิตที่คณะได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยได้ศึกษาชั้นบรรยากาศหลังจากการเกิดแผ่นดินไหวในจังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2554 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า หลังจากแผ่นดินไหว จะเกิดผลกระทบในชั้นบรรยากาศไอโนโนสเฟียร์ เพียงแค่ 6 นาที ต่อจากนั้น คลื่นอากาศความถี่ต่ำ จะรบกวนสัญญาณจีพีเอสที่เราใช้กัน  แต่ไม่ได้ทำให้โลกอ่อนแอลงเลย
            อาจารย์สธน กล่าวต่อว่า หากพายุสุริยะจะปะทุแตกแบบยิ่งใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ เราก็ไม่สามารถรู้ได้ และการเกิดแผ่นดินไหวก็เป็นภัยพิบัติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าเช่นกัน แต่ก็ยังพอจะจับสังเกตจากจำนวนประจุของดวงอาทิตย์ หรือการแผ่พลังงานต่าง ๆ ส่วนทิศทางการเคลื่อนที่นั้น โลกกับดวงอาทิตย์ไกลกันมาก หากมีการปะทุแบบยิ่งใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ ก็จะรบกวนแค่การสื่อสาร ไม่ให้ทำให้สนามแม่เหล็กอ่อนตัว หรือมีผลกระทบจนแกนโลกแตกตัว ของเหลวในโลกขยับ ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ อย่างที่พูดต่อ ๆ กันมา
แต่ทั้งนี้ พายุสุริยะก็อาจจะทำให้สนามแม่เหล็กแปรปรวนได้อย่างมากที่สุด ก็คือทำให้เกิดแสงเหนือ-แสงใต้ ในละติจูด 45 องศา กล่าวคือ ระบบสุริยะ เมื่อเคลื่อนมาเจอสนามแม่เหล็กโลก สนามแม่เหล็กโลกก็จะเบี่ยงทิศทางไปที่ขั้วโลก ไปยังชั้นบรรยากาศโลกของเรา และชนเข้ากับออกซิเจน จนเกิดแสงสว่างสีเขียววาบ ๆ นี่ก็คือการป้องกันพายุสุริยะด้วยกลโลกของโลกเอง โดนจับไปปุ๊บก็ถูกต้านไปโดยไม่ให้ไปถึงพื้นโลก
            ท้ายนี้ ทางด้านพิธีกรได้กล่าวว่า เท่าที่ทราบคือพายุสุริยะ หากแตกตัวก็จะใช้เวลาเดินทางมายังโลก 4 วัน จึงอยากถามอาจารย์สธนว่า... กล้าขึ้นเครื่องบินไหม ด้านอาจารย์สธน กล่าวตอบว่า "กล้าขึ้น.. ขึ้นได้ไม่มีปัญหา"
            ส่วนในวันนี้ (11 ธันวาคม) ทางรายการจะนำเสนออีก 3 เหตุการณ์ที่อ้างว่าจะทำให้โลกแตก อย่าลืมติดตามชมพร้อมกับไขข้อสงสัยกันได้นะคะ ที่รายการ "เจาะข่าวเด่น" ทางช่อง 3 เวลา 16.20 น.
ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/79424
http://hilight.kapook.com/view/79440

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สารคดี วันล้างโลก

สารคดี วันล้างโลก


สารคดี วันล้างโลก



สารคดี วันล้างโลก

ญี่ปุ่นยกเลิกประกาศเตือนสึนามิแล้ว หลังเกิดแผ่นดินไหวนอกชายฝั่ง

ญี่ปุ่นยกเลิกประกาศเตือนสึนามิแล้ว หลังเกิดแผ่นดินไหวนอกชายฝั่ง
แผ่นดินไหวญี่ปุ่น



          สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากญี่ปุ่นว่า ทางการญี่ปุ่น ยกเลิกประกาศเตือนภัยสึนามิแล้ว หลังคลื่นสึนามิสูง 1 เมตร ได้ซัดเข้าชายฝั่งญี่ปุ่นแล้ว หลังทางการประกาศเตือนภัยสึนามิไปก่อนหน้านี้ เพราะเกิดแผ่นดินไหวนอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ จนตึกหลายแห่งรับแรงสั่นสะเทือนได้

          รายงานระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้มีความรุนแรง 7.3 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางอยู่นอกชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ทำให้ก่อนหน้านี้ ทางการญี่ปุ่นต้องออกมาเตือนภัยว่า อาจเกิดคลื่นสึนามิสูง 1-2 เมตร บริเวณชายฝั่งจังหวัดมิยางิของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคมปีที่แล้วนั่นเอง
          หลังจากประกาศเตือนภัยได้ไม่นาน เมื่อเวลา 16.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ของประเทศญี่ปุ่น รายงานว่า คลื่นสึนามิสูง 1 เมตรได้ซัดกระทบชายฝั่งเมืองอิชิโนะมากิ ในจังหวัดมิยางิแล้ว หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงนอกชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น

          ขณะที่ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ รายงานว่า เมื่อ 15.18 น. ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวในทะเล บริเวณทางตะวันออกของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแผ่นดินไหวนี้ไม่มีผลกระทบต่อไทย

          ทั้งนี้ สำหรับเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นครั้งนี้ ทางการไม่ได้รับรายงานความเสียหายใด ๆ แต่ก็ทำให้ผู้คนแตกตื่น พากันหนีขึ้นที่สูงกันอย่างโกลาหลไม่น้อยเหมือนกัน

ที่มา
kapook.com

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สารคดีเรื่องภัยพิบัติล้างโลก

สารคดีเรื่องภัยพิบัติล้างโลก



สารคดีเรื่องภัยพิบัติล้างโลก

มนุษย์กำลังสนใจในปัญหาภัยพิบัติ แต่ควรศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ที่พยายามหากลักฐานมากกว่า จะเชื่อด้วยโมหาคติ หรือเชื่อโดยปราศจากหลักการ ในกาลามสูตร สอนไว้ดีแล้ว จริงไหม มนุสสย แปลว่าเหล่ากอผู้มีสติปัญญา

เตรียมใจรับภัยพิบัติ

จากกระแสข่าวที่ทำให้คนทั่วโลกตกตะลึงและวิตกกังวล นอกจากประกาศขององค์การ NASA ที่ว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) แกนโลกของเราถึงกาลที่จะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ซึ่งทำให้ช่วงเวลานั้นโลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็กเพื่อป้องกันตัวเอง ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็กและรังสีที่มีความร้อนสูงมายังโลก ผลลัพธ์ที่มนุษย์โลกได้รับผลทันที น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายอย่างรวดเร็ว น้ำจะท่วมโลกฉับพลัน สิ่งมีชีวิตจะล้มตายเป็นเบือ และหนึ่งในนั้น ก็คือ มนุษย์ ฉะนั้นเพื่อร่วมกันปกป้องโลกของเราให้ลดความรุนแรงจากภัยทางธรรมชาติ เรามาร่วมใจกันนั่งสมาธิพร้อมกันให้มากที่สุดทั่วโลกเลยก็ยิ่งดี เสร็จแล้วภาวนาส่งกระแสจิตแห่งความปรารถนาดีแก่มวลมนุษย์ชาติให้อยู่ดีมีสุข จงรักและสามัคคีกันอย่างจริงใจ พลังจิตแห่งความปรารถนาดีนี้ก็เปรียบเสมือนอากาศเย็นที่ทั่วโลกสร้างให้เกิดขึ้นในที­่ที่มีอากาศร้อนมาก ความร้อนที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้าย หากมีความเย็นเข้ามาก็ทำให้อนุภาพของความรุนแรงลดลง หรือถ้ามีมากก็ไม่เกิดเหตุร้ายแต่อย่างใด เพียงเท่านี้โลกและเราทั้งหลายก็ลดทุกข์ทั้งทางกายและทางใจลงไปได้มากมาย แถมที่สำคัญก็คือการนั่งสมาธิทำให้เราเป็นคนที่ใจเย็น ผลดีเกิดขึ้นกับเราทันที่ที่ลงมือทำโดยไม่ต้องใช้เงินทอง

เตรียมใจรับภัยพิบัติ ครั้งที่1



บรรยาย เรื่องวันสิ้นโลก โดย ดร.สมิทธ

บรรยาย เรื่องวันสิ้นโลก โดย ดร.สมิทธ



บรรยาย เรื่องวันสิ้นโลก โดย ดร.สมิทธ

บรรยายหัวข้อพิเศษ เรื่องวันสิ้นโลก โดย ดร.สมิทธ ธรรมสโรช
ณ หอประชุม City Hall พลาซ่า หาดใหญ่ 21-1-2555 ช่วงแรก

เตรียมรับมหันตภัยโลกปี 2556

เตรียมรับมหันตภัยโลกปี 2556



เตรียมรับมหันตภัยโลกปี 2556

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นักวิทย์เผยน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น 3 เท่า จาก 20 ปีก่อน





นักวิทย์เผยน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น 3 เท่า จาก 20 ปีก่อน

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพี รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์เผยภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงหนัก ทำน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนถึง 3 เท่า

โดยจากการสำรวจของนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์ข้อมูลน้ำแข็งและหิมะขั้วโลก พบว่า ตอนนี้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและใต้ กำลังละลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรีนแลนด์ (ขั้วโลกเหนือ) พบว่าแผ่นน้ำแข็งละลายเร็วมากอย่างน่าตกใจ คือ 2.9 แสนล้านตันต่อปีเลยทีเดียว เปรียบเทียบกับเมื่อ 20 ปีก่อน (ยุค 1990) ที่เคยมีสถิติการละลายอยู่ที่ประมาณ 5.5 หมื่นล้านตันต่อปีเท่านั้น

จากตัวเลขอันน่าตกใจดังกล่าว ดอกเตอร์แอนดรูว์ เชพเพิร์ด ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยลีดส์ในอังกฤษ ได้เปิดเผยว่า นี่เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่า กรีนแลนด์กำลังประสบปัญหาใหญ่ เพราะมหาสมุทรทั่วโลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก การที่น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายได้ 10 ล้านล้านตัน ซึ่งจะทำให้น้ำทะเลเพิ่มระดับขึ้น 1 นิ้วนั้น แต่ก่อนจะใช้เวลานานเป็นร้อยปี แต่นับตั้งแต่ปี 1992 จนถึงตอนนี้ แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกละลายไปแล้วเกือบ 5 ล้านล้านตัน และทำให้น้ำทะเลเพิ่มระดับขึ้นครึ่งนิ้วภายในระยะเวลาเพียง 20 ปีเท่านั้น

ทั้งนี้ สำหรับสาเหตุที่ทำให้น้ำแข็งทั่วโลกละลายดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อน ซึ่งเกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศของโลกที่เป็นเกราะป้องกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้ชั้นบรรยากาศบางลง และโลกยิ่งร้อนขึ้นทุกวันนั่นเอง


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/79185

พายุหิมะถล่มรัสเซีย รถติดยาว 200 กิโลเมตร บนทางหลวง

พายุหิมะถล่มรัสเซีย รถติดยาว 200 กิโลเมตร บนทางหลวง




พายุหิมะถล่มรัสเซีย รถติดยาว 200 กิโลเมตร บนทางหลวง

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า รัสเซียเผชิญหิมะตกหนักตั้งแต่วันศุกร์จนถึงเมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา จนหิมะปกคุลมถนนหนาถึง 1 เมตร ส่งผลให้จราจรติดขัดอย่างหนักบนทางหลวงสาย M 10 ที่เชื่อมระหว่างมอสโคว์ และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร แต่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงแล้ว หลังทางการรัสเซียออกมาพยายามเคลียร์ทางให้รถวิ่งได้ส่วนหนึ่ง

โดยเจ้าหน้าที่ในเมืองตเวียร์ เปิดเผยว่า บรรดาผู้ขับขี่รถยนต์และรถบรรทุกที่ต้องผจญกับรถติด ซึ่งบางรายต้องติดค้างอยู่บนถนนสายนี้เป็นวันที่สาม พวกเขาต้องช่วยกันทำอาหารกินเองกันข้างทาง ทั้งนี้ คนขับรถบรรทุกคนหนึ่งได้เปิดเผยผ่านรายการทีวีว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเท่าที่ควร ปั๊มน้ำมันหลายแห่งไม่มีน้ำมันเหลือแล้ว ร้านอาหารริมทางโก่งราคา แม้กระทั่งน้ำเปล่า เหมือนพวกเขาต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่โดยไม่มีอะไรเลย

อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีดิมีทรี เมดเตเยฟของรัสเซีย ได้สั่งการให้แก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน โดยมีความพยายามกวาดหิมะที่ปกคลุมหนาออกไปได้หมดแล้วในช่องทางจราจร 1 ช่องของถนนฝั่งขาเข้าและขาออก แต่การจราจรก็ยังติดขัดอยู่บ้าง รถบรรทุกสามารถวิ่งด้วยความเร็วเพียง 5-10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้คาดว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 13.5 ชั่วโมง จึงจะผ่านเส้นทางนี้ไปได้ ขณะเดียวกันทางการได้จัดตั้งจุดพักพิงฉุกเฉินเพื่อให้บริการคลายหนาว และแจกจ่ายอาหารปรุงสุกร้อน ๆ และบริการโทรศัพท์สายด่วนคลายทุกข์ให้กับผู้ขับขี่ที่เผชิญความเครียดจากปัญหารถติด


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/79184

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นาซา ชี้ วันสิ้นโลก เป็นเรื่องจินตนาการ หวั่นคนฆ่าตัวตาย



ทีมนักวิทยาศาสตร์นาซา หวั่นเยาวชนฆ่าตัวตายหนีวันสิ้นโลก ชี้เป็นเพียงจินตนาการและการตีความผิด ๆ ของชาวตะวันตก
              เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน เว็บไซต์นิวยอร์กเดลี่นิวส์ รายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์จากองค์การการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) ได้ปลอบประโลมประชาชนถึงความหวาดกลัวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก ในช่วงสิ้นปี 2012 ว่า เป็นเพียงเรื่องจินตนาการที่สร้างกันเอง พร้อมทั้งเตือนให้รับมือกับข่าวลือด้านมืด ซึ่งอาจส่งผลให้เด็กและเยาวชนก่อเหตุฆ่าตัวตายได้
              โดย ทีมนักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ความเชื่อเรื่องวันโลกาวินาศเกิดจากการตีความหมายปฏิทินชนเผ่ามายาแบบผิด ๆ ของชาติตะวันตก ที่เชื่อกันเองว่าวันที่ 21 ธันวาคมนี้ เป็นวันสิ้นโลก เนื่องจากเป็นวันสุดท้าย ที่ปรากฏในปฏิทินของชนเผ่ามายา แต่ในความเป็นจริงถือเป็นการสิ้นสุดบัคตุนที่ 13 ซึ่งเป็นการนับอายุเวลาตามปฏิทินของชนเผ่ามายา แหล่งอารยธรรมเก่าแก่ที่ยังหลงเหลือหลักฐานอยู่ในเม็กซิโก โดย 1 บัคตุนเทียบเท่ากับเวลา 394 ปี ทำให้วันครบรอบบัคตุนที่ 13 เท่ากับเวลา 5,126 ปี ตามการนับอายุเวลาสากลปัจจุบัน
               ด้าน เดวิด มอร์ริสัน นักดาราชีววิทยา แห่งศูนย์วิจัยอาเมส ของนาซา เผยว่า ความเชื่อโลกแตกเป็นเพียงจินตนาการที่สร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง และความเชื่อที่ว่าอุกกาบาตอาจพุ่งชนโลกในวันดังกล่าว จนทำให้ทุกสรรพสิ่งบนโลกถึงคราวดับสูญนั้น ในปัจจุบันทีมนักดาราศาสตร์มีความเชี่ยวชาญและแม่นยำ ในการตรวจจับวัตถุที่เคลื่อนเข้าใกล้โลก ประชาชนจึงไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องดังกล่าว

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/79071

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผู้เชี่ยวชาญคาด อาจเกิดแผ่นดินไหวระดับทำลายล้าง รุนแรง 10 ริกเตอร์

ผู้เชี่ยวชาญคาด อาจเกิดแผ่นดินไหวระดับทำลายล้าง รุนแรง 10 ริกเตอร์


แผ่นดินไหว


          เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักข่าวเอ็นเอชเคของญี่ปุ่น รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวคาดอาจเกิดแผ่นดินไหวบนโลก ความรุนแรงสูงสุดถึง 10 ริกเตอร์ ซึ่งจะสร้างความเสียหายมหาศาล มากกว่าเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นเมื่อปีก่อนถึง 32 เท่า!!

รายงานระบุว่า ศาสตราจารย์โทรุ มัสซึซาวา ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวจากมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ได้เปิดเผยในการประชุมเรื่องแผ่นดินไหวในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงถึง 10 ริกเตอร์ ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งบนโลก ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล ร้ายแรงกว่าเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วถึง 32 เท่า
โดยศาสตราจารย์โทรุ ได้ยกตัวอย่างว่า ถ้าวันหนึ่ง รอยเลื่อนเปลือกโลกความยาว 8,800 กิโลเมตร เคลื่อนตัวไป 20 เมตร ก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 10 ริกเตอร์ แผ่นดินจะสั่นสะเทือนเป็นเวลา 20 นาที ไปถึง 1 ชั่วโมง และทำให้เกิดสึนามิตามมาอีกหลายวัน

อย่างไรก็ดี ศาสตราจารย์โทรุไม่ได้ฟันธงว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง 10 ริกเตอร์นั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เขาเพียงแค่คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้เพื่อเตรียมรับมือในอนาคต เพราะสิ่งที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างเช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ตอนนั้นมีการคาดการณ์กันว่า แผ่นดินไหวจะรุนแรง 8 ริกเตอร์เท่านั้น แต่เอาเข้าจริง ๆ มันรุนแรงถึง 9 ริกเตอร์เลยทีเดียว

ทั้งนี้ สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่มีการบันทึกมา คือเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ชิลี ในปี 1960 โดยแผ่นดินไหวครั้งนั้นมีความรุนแรงถึง 9.5 ริกเตอร์เลยทีเดียว


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/78770

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

10 สุดยอด ปรากฏการณ์ "UFO"

10 สุดยอด ปรากฏการณ์ "UFO"

เรื่องราวของยูเอฟโอ (UFO : Unidentified Flying Object) วัตถุบินปริศนายังคงเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจของคนทั่วโลกอย่างไม่เสื่อมคลาย ย้อนกลับไปในปี ๑๙๔๗ เมื่อนักบินเอกชนชื่อนายเคนเนธ อาร์โนลด์ (Kenneth Arnold) ได้อ้างว่าเขาได้เห็นยูเอฟโอปริศนาบินด้วยความเร็วสูงใกล้เหนือยอดเขาเรนเนียร์ (Mount Rainer) รัฐวอชิงตัน เขากล่าวว่ารูปร่างเหมือน “จานร่อนบิน” หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็รายงานมากมายที่อ้างพบเห็นยูเอฟโอรูปร่างจานบินปรากฏตัวมากมายทุกมุมโลก อีกทั้งหลายเหตุการณ์ยังเต็มไปด้วยลึกลับและน่าพิศวง และนี้คือ ๑๐ สุดยอดเหตุการณ์ประหลาดของยูเอฟโอดังกล่าว



อันดับ ๑๐ ไฟฟินิกซ์ (The Phoenix Lights)

ไฟฟินิกซ์ ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ปรากฏยูเอฟโอที่มีชื่อเสียง เนื่องจากมีพยานหลายคนจำนวนมากพบเห็นยูเอฟโอ และมีการถ่ายวีดีโอเทปจำนวนมากมายและปรากฏในช่องสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น

เรื่องเริ่มต้นขึ้นในช่วงใกล้ค่ำ ของวันที่ ๑๓ มีนาคม ๑๙๙๗ เมื่อมีพยานหลายพันคนต่างพบเห็นวัตถุประหลาดบินได้ลึกลับที่ขนาดใหญ่พอๆ เครื่องบินโบอิ้ง ๗๔๗ ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าในเมือง รูปร่างลักษณะคล้ายรูปตัววี มีดวงไฟสีแดงหรือสีส้มส่อง ๕ ดวงอยู่ข้างใต้ยาน บินอย่างช้าๆ เงียบๆ ผ่านหลายเมืองในรัฐอาริโซน่า สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะหายไปที่เมืองฟินิกซ์ (Phoenix) ซึ่งเป็นจุดที่เป็นพื้นที่กองทัพอากาศ รวมระยะเวลาปรากฏยาวนานกว่า ๓ ชั่วโมง (ตั้งแต่ ๑๙.๓๐ น. ถึง ๒๒.๓๐ น.) หลังจากนั้นไม่นานก็มีผู้คนมากมายสอบถามเรื่องดังกล่าวทางสื่อทุกแขนง ซึ่งทางฐานทัพอากาศของสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาแถลงการณ์กล่าวอ้างว่าแสงไฟสีอำพันลึกลับซึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าดังกล่าวเป็นเพียงเครื่องบินรบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมบินของทางกองทัพเท่านั้น แน่นอนประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ แต่กระนั้นก็ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ว่าคืออะไร? และยังคงถกเถียงจนถึงทุกวันนี้



อันดับ ๙ โคลาเรสยูเอฟโอบิน (The Colares UFO flap)

ประเทศบราซิลถือว่าเป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีรายงานการปรากฏตัวของยูเอฟโอที่แปลกประหลาด มากมายอยู่บ่อยครั้ง และหนึ่งในรายการนั้นจะต้องมีเหตุการณ์ยูเอฟโอที่โคลาเรสรวมอยู่ด้วย

โคลาเรสยูเอฟโอบิน เป็นเหตุการณ์การปรากฏตัวของยูเอฟโอเกิดขึ้นที่เกาะโคลาเรส (Colares) ทางเหนือของประเทศบราซิล ในปี ๑๙๙๗ รูปร่างยูเอฟโอไม่แน่ชัด บ้างก็ว่ามีขนาดเล็ก บ้างก็ว่าใหญ่ รูปซิการ์ ไปจนถึงจานร่อง ส่องแสง ไม่ส่องแสง แต่สิ่งที่แปลกกว่าเหตุการณ์การปรากฏตัวยูเอฟโอทั่วไปก็คือ มีพยานหลายคนจากหลายหมู่บ้านอ้างว่าพวกเขาถูกยูเอฟโอดังกล่าวจู่โจมด้วยการฉายรังสีที่มีความเข้มข้นสูงเข้าใส่ ทำให้มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวประมาณ ๓๕ คน จากผลวินิจฉัยของด็อกเตอร์เวลเอด คาร์วัลโญ่ (Dr Wellaide Carvalho) ที่เขามารักษาผู้ป่วย พบว่า ผู้บาดเจ็บมีอาการผิวหนังไหม้และมีบาดแผลเหมือนถูกแทง ซึ่งเกิดจากรังสีเป็นพิษ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ, เหนื่อยล้า, ความดันดันโลหิตต่ำ, โลหิตจาง และผมร่วงถาวรที่บริเวณที่ผิวหนังไหม้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทางรัฐบาลบราซิลจัดตั้งทีมงานเพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าสิ่งที่โจมตีและทำร้ายชาวบ้านเกาะโคลาเรสในวันนั้นคืออะไรกันแน่?



อันดับ ๘ ศึกลอสแอนเจลิส(The Battle of Los Angeles)

กรุณาอย่าเข้าใจผิดว่ามันเป็นชื่อภาพยนตร์ดังเรื่อง The Battle of Los Angeles (2001) หากแต่ศึกลอสแอนเจลิสนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เมื่อสหรัฐ ฯ ทำศึกกับยูเอฟโอจริงๆ โดยเราไม่สามารถอธิบายได้ว่ายูเอฟโอดังกล่าวคืออะไรกันแน่?

ไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ฐานทัพเรือเพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) และ แอลวูด( Ellwood) ถูกฝ่ายอักษะญี่ปุ่นโจมตีจนย่อยยับ ส่งผลทำให้สหรัฐอเมริกาต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ และเตรียมกับพร้อมรับมือบุกโจมตีของญี่ปุ่นเข้มงวดขึ้น จนกระทั้งในคืนของวันที่ ๒๔ -๒๕ กุมภาพันธ์ ๑๙๔๒ เวลาประมาณ ๒:๒๕ น. ที่ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย จู่ๆ ก็มีฝูงยูเอฟโอรูปทรงกลมเรืองแสงปรากฏตัวเหนือน่านฟ้าของเมือง สัญญาณเตือนไซเรนดังไปทั่ว ทำให้พยานหลายคนในตอนนั้นตื่นมาเพื่อออกมาดูการปรากฏตัวของฝูงยูเอฟโอลึกลับดังกล่าว ตอนแรกทางกองทัพเชื่อว่าเป็นเครื่องบินรบของฝ่ายอักษะญี่ปุ่น ทำให้มีการใช้ปืนต่อสู้อากาศยานระดมยิงตอบโต้ทันที กว่า ๑,๔๐๐ นัด หลังสิ้นเสียงปืน ผลปรากฏว่าอาวุธของพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายกับฝูงยูเอฟโอดังกล่าวได้เลย อีกทั้งสะเก็ดของกระสุนปืนได้ตกลงบนพื้นดินทำลายบ้านเรือนและมีผู้เสียชีวิตจากลูกหลงจากเหตุการณ์ดังกล่าวหลายราย ก่อนที่ยูเอฟโอจะหายอย่างลึกลับ ในเวลาต่อมา ทางการสหรัฐออกแถลงการณ์ปฏิเสธกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันไม่ใช่ยูเอฟโอจากนอกโลก หากแต่เป็นเพียงสัญญาณเตือนผิดพลาดซึ่งเป็นผลจากสงครามประสาทของฝ่ายศัตรูเท่านั่น



อันดับ ๗ คลื่นยูเอฟโอเบลเยียม(The Belgian UFO Wave)

คลื่นยูเอฟโอเบลเยียม เป็นเหตุการณ์การปรากฏตัวของยูเอฟโอประหลาด ในระหว่างฤดูหนาวของวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๑๙๘๙ กับฤดูใบไม้ผลิ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๑๙๙๐ ของประเทศเบลเยียม

ในวันนั้น มีการพบคลื่นเรดาร์ประหลาดในช่วงกลางคืน พร้อมกับการปรากฏตัวของยูเอฟโอทรงสามเหลี่ยมหรือไฟสามดวงอยู่แต่ละมุมเคลื่อนที่ไปบนท้องฟ้าในกรุงบรัสเซลล์ (Brussels) ต่อมามันก็ปรากฏตัวอีกครั้งต่อหน้าต่อตาประชาชนกว่า ๑๓,๕๐๐ คน ให้พบเห็น เมื่อทางการเบลเยียมรับรายงานดังกล่าว จึงได้ส่งเครื่องบินรบ F-16 ออกไปสังเกตการณ์ และพยายามล็อกเป้าหมายโจมตียูเอฟโอลำดังกล่าว(สามครั้ง) แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จ เพราะสัญญาณเครื่องบินถูกรบกวน ก่อนที่ยูเอฟโอนั้นจะหายไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อชนิดที่เรียกว่าไม่มีเครื่องบินลำไหนบนโลกจะสามารถทำแบบนี้ได้



อันดับ ๖ เหตุการณ์ยูเอฟโอที่วาร์จินยา(Virginal UFO Incident)

ไม่มีเหตุการณ์เผชิญหน้ามนุษย์ต่างดาวใดที่เต็มไปด้วยความพิศวงและแปลกประหลาดน่าสนใจต่อใครหลายคนมากเท่าเหตุการณ์ยูเอฟโอที่วาร์จินยา ในประเทศบราซิลอีกแล้ว

เหตุการณ์ยูเอฟโอที่วาร์จินยาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน เมืองวาร์จินยา(Virginal) เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๑๙๙๖ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวมีพยานหลายคนพบยูเอฟโอรูปร่างเหมือนเรือดำน้ำเหนือน่านฟ้า ต่อมาก็มีรายงานจากชาวเมืองและเจ้าหน้าที่แจ้งมาว่าพวกเขาได้พบสัตว์ประหลาดบนท้องถนน โดยสิ่งมีชีวิตดังกล่าวรูปร่างผอม สูงประมาณ ๑.๖ ฟุต (๕ ฟุต) มีหัวขนาดใหญ่ เท้ารูปตัววี สีผิวเข้มสีน้ำตาล ตาสีแดงขนาดใหญ่ คล้ายมนุษย์ต่างดาว มีกลิ่นแรงเหมือนแอมโมเนีย และท่าทางเหมือนมันกำลังสับสนหรือบาดเจ็บ เมื่อกองทัพบกได้รับรายงานจึงได้ส่งทหารเข้ามายังพื้นที่ทันที และสัตว์ประหลาดดังกล่าวก็ถูกยิงตาย ก่อนที่มันจะถูกจับยัดใส่กระสอบ แล้วส่งไปชันสูตรในห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยเซาเปาโลที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงสุด หากแต่สุดท้ายรัฐบาลบราซิลกลับออกมาแถลงการณ์ปฏิเสธเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะอุปทานหมู่เท่านั้น แต่หลายคนไม่เชื่อเรื่องดังกล่าว โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลจงใจปกปิดข้อเท็จจริง พร้อมกับมีพยานหลายคนอ้างว่าเห็นเจ้าหน้าที่บราซิลนำสัตว์ประหลาดขึ้นเครื่องบินทางการทหารของสหรัฐอเมริกาและนายทหารที่มีส่วนร่วมในการสัตว์ประหลาดดังกล่าวก็ได้เสียชีวิตลงในสัปดาห์ต่อมาเนื่องจากติดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่รู้จัก



อันดับ ๕ เหตุการณ์ที่ป่าเร็นเลสแฮม (The Rendlesham Forest Incident)

เหตุการณ์ที่ป่า เป็นเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในป่าเร็นเลสแฮม , ซัฟโฟล์ก ประเทศอังกฤษ ในปี ๑๙๘๐ โดยหลายคนได้เชื่อมโยงเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นฝีมือของยูเอฟโอ

เหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นเมื่อเวลาตีสาม ของวันที่ ๒๖ ปลายเดือนธันวาคม ได้เกิดแสงไฟประหลาดเคลื่อนที่ผ่านไปมาที่ป่าเร็นเลสแฮม ด้านนอกฐานทัพอากาศวู้ดบริดจ์ ทางตะวันออกของอังกฤษ ตอนแรกพวกเจ้าหน้าที่ป่าไม้คิดว่าเป็นเครื่องบินลงจอด เลยเข้าไปตรวจสอบ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นกลับเป็นยูเอฟโอรูปทรงสามเหลี่ยมโลหะ บินได้ มีสามขา และเปล่งแสงประหลาดอยู่ในที่มืด ก่อนที่จะลงจอดบนพื้นดิน พวกเขาจึงรีบกลับไปเพื่อเรียกกำลังเสริม และในวันต่อมา เมื่อนำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจอีกครั้ง ก็พบยูเอฟโอลำดังกล่าวหายไป แต่กระนั้นก็ยังร่องรอยการเผาไหม้และร่องรอยแรงกดทับและค่ารังสีที่ผิดปกติในบริเวณนั้น ต่อมาบริเวณจุดที่ยูเอฟโอลงจอดดังกล่าวก็ได้กลายเป็นพื้นที่มีชื่อเสียงของการปรากฏตัวของยูเอฟโอของประเทศอังกฤษ ซึ่งหลายฝ่ายพยายามหาข้อเท็จจริงจนถึงทุกวันนี้



อันดับ ๔ เหตุการณ์ยูเอฟโอที่เคกส์เบิร์ก (The Kecksburg UFO Incident)

เหตุการณ์ยูเอฟโอที่เคกส์เบิร์ก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๑๙๖๕ ในเมืองเคกส์เบิร์ก (Kecksburg) รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีพยานหลายคนต่างเห็นลูกบอลไฟลึกลับขนาดใหญ่ลอยผ่านเหนือฟ้าจากภาคเหนือของมิชิแกนและโอไฮโอ ก่อนที่จะเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นโดยรอบทางเพนซิลเวเนียตะวันตก และวัตถุดังกล่าวตกลงในป่า ทำให้ป่าไม้ในบริเวณนั้นล้มลงเสียหายและลุกไหม้เป็นบางส่วน เมื่อทางกองทัพสหรัฐฯ ทราบข่าวก็ระดมกำลังตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นและปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปใกล้ที่พื้นที่เกิดเหตุ ต่อมาทางการนาซ่ากลับออกมาแถลงการณ์ว่าไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้นในบริเวณดังกล่าว วัตถุที่ตกเป็นเพียงสะเก็ดดาวตกเท่านั้น อย่างไรก็ตามมีพยานในที่เกิดเหตุหลายคนยืนยันหนักแน่นว่าพวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่นำรถบรรทุกมาขนวัตถุประหลาดขนาดใหญ่พอๆ กับรถเต่า(โฟล์คสวาเกน) ลักษณะคล้ายกับระฆังสีส้มหรือเหมือนผลต้นโอ๊กและมีสัญลักษณ์แปลกๆ เหมือนอักษรอียิปต์อยู่รอบวัตถุ ออกจากที่เกิดเหตุในค่ำคืนวันนั้น และด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีการยื่นฟ้องต่อศาลให้บังคับทางการนาซ่าเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ จนกระทั้งปี ๒๐๐๕ ทางการนาซ่าต้องยอมเปิดเผยข้อมูลตามคำสั่งของศาล คราวนี้บอกว่าสิ่งที่ตกดังกล่าวคือดาวเทียมลับของรัสเซีย ซึ่งขัดแย้งคำแถลงการณ์ครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ต่อมามีการบังคับให้เอานาซ่าเปิดเผยเอกสารหลักฐานอีกครั้ง แต่คราวนี้นาซ่าบอกว่าเอกสารหลักฐานดังกล่าวหายไป ทำให้ความจริงเหตุการณ์ยูเอฟโอที่เคกส์เบิร์กยังคงเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน



อันดับ ๓ ชูปราคาบรา(Chupacabra)

ในช่วงเดือนเมษายน ๒๐๐๐ ประเทศชิลีเต็มไปด้วยรายการเกี่ยวกับปรากฏการณ์ยูเอฟโอ รวมไปถึงรายงานการปรากฏตัวของชูปราคาบราสัตว์ลึกลับที่น่าสยดสยอง

ชูปราคาบรา(ภาษาสเปนแปลว่า ตัวดูดเลือดแพะ) เป็นสัตว์ประหลาดกลับที่ออกอาละวาดสร้างความหวาดกลัวต่อชาวบ้าน ในประเทศเปอร์โตริโก เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา โดยปรากฏออกมาช่วงแรกในช่วง ๑๙๙๕ ก่อนที่จะระบาดไปทั่วอเมริกาใต้จนถึงชิลีดังกล่าว โดยพฤติกรรมคือมันชอบฆ่าและดูดเลือดสัตว์จนหมดตัว ทุกคืนมันจะฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมากอย่างน้อย ๓๐ ตัวเป็นอย่างต่ำ ไม่เพียงเฉพาะแพะเท่านั้น ยังมีพวกสุกร สุนัข และเป็ดถูกฆ่าในลักษณะเดียวกัน นอกจากนั้นมันมีรูปร่างหลายแบบแตกต่างกันไปตามคำบอกเล่าของพยานที่พบเห็น บ้างก็ว่าเหมือนมนุษย์ต่างดาว เหมือนสัตว์กลายพันธุ์ บางตัวก็มีปีก บางตัวมีกลิ่นเหม็นคล้ายกำมะถัน นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องยูเอฟโอ คือในพื้นที่ปรากฏตัวชูปราคาบรามักมีรายงานการปรากฏตัวแสงไฟประหลาดลอยได้เหมือนยูเอฟโออยู่บ่อยครั้ง และในพื้นที่ดังกล่าวยังพบเครื่องหมายรอยไหม้เหมือนรูปสามเหลี่ยมบนพื้นดินเหมือนเป็นจุดลงจอดยูเอฟโอดังกล่าว





อันดับ ๒ เหตุการณ์แคช-เลสลี่ดรัม (The Cash-Landrum Incident)

เหตุการณ์แคช-เลสลี่ดรัม เป็นเหตุการณ์การพบเห็นยูเอฟโอ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ๑๙๘๐ และเป็นเหตุการณ์ไม่กี่กรณีที่เกี่ยวข้องกับในยูเอฟโอที่มีการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในศาลอาญา โดยคนฟ้องเป็นพยานในการพบเห็นยูเอฟโอที่อ้างว่าพวกเขาสุขภาพแย่ลงหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

เหตุดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อค่ำของวันที่ ๒๐ ธันวาคม เมื่อนางเบ็ตตี้ แคช (Betty Cash), นางวิคกี เลสลี่ดรัม (Vickie Landrum) และ คอลบี เลสลี่ดรัม (Colby Landrum) หลานชายอายุ๗ ปีของวิคกี ได้ขับรถโอลด์โมบายกลับบ้านตามหลวงหมายเลข FM1485 ในเดย์ตัน รัฐเท็กซัส จนกระทั้งเวลา ๙:๐๐ น. จู่ๆ ก็เกิดแสงจ้าทางด้านเหนือของถนน ทำให้พวกเขาถูกบังคับให้หยุดรถ และออกจากรถเพื่อดูมาของแสงดังกล่าว(ในตอนนั้นมีเฮลิคอปเตอร์อยู่ใกล้ประมาณ ๘ กม.) ตอนแรกวิคกีคิดว่าเป็นแสงของพระเยซูมาเยือน แต่ปรากฏว่าแสงดังกล่าวคือยูเอฟโอ รูปร่างเหมือนเพชรส่องแสงวูบวาบจนแสบตา มันบินเหนือพวกเขา ก่อนที่จะหายไป โดยมันได้ปล่อยพ่นระเบิดไฟจากปลายด้านล่างออกมากระจายไปทั่วบริเวณ ซึ่งความร้อนดังกล่าวมีรุนแรงมาก(ถึงขั้นทำให้รถเสียหายบางส่วน และพื้นที่บางส่วนในบริเวณลุกติดไฟ) เป็นผลทำให้พยานทั้งหมดที่อยู่ใกล้เกิดอาการเจ็บป่วย คลื่นไส้ โรคอุจจาระร่วง ปวดหัวเรื้องรัง และมีรอยแผลไหม้ของรังสีรุนแรงจนเห็นชัดเจน ซึ่งในเวลาต่อมาก็มีการฟ้องร้องต่อศาลเนื่องจากคิดว่าทางการสหรัฐอยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์ดังกล่าว



อันดับ ๑ เหตุการณ์ที่รอสเวลล์(The Roswell Incident)

คงไม่มีเหตุการณ์ครั้งไหนที่ได้รับการกล่าวขานเท่าเหตุการณ์เครื่องบินตกรอสเวลล์ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยูเอฟโอ รวมทั้งมีการโต้เถียงกันอย่างยาวนานร่วมครึ่งศตวรรษ จนกระทั้งในปัจจุบันยังหาข้อยุติไม่ได้!!?

ในเดือนกรกฎาคม ๑๙๔๘ ได้มีวัตถุลึกลับตกในพื้นที่รกร้าง ในเมืองรอสเวลล์ นิวเม็กซิโก โดยเกษตรคนหนึ่งชื่อนายวิลเลียม แวร์ “แม็ค” (William Ware "Mack") ได้พบวัตถุประหลาดขนาดเล็กกระจัดกระจายเต็มพื้นที่ โดยเศษวัตถุดังกล่าวคล้ายไม้(แต่ไม่ใช่ไม้) มีน้ำหนักทั้งเบาและบางคล้ายแผ่นฟอยล์ ต่อมาไม่นานเจ้าหน้าที่ทางการก็มาถึงและเก็บวัตถุในพื้นที่เกิดเหตุจนหมด ซึ่งผลจากการตรวจสอบตอนแรกแถลงการณ์ออกมาว่าวัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นวัตถุที่ไม่เคยมีอยู่ในโลก แต่ละชิ้นโลหะมีคุณสมบัติแปลกประหลาด หากแต่ภายหลังทางการกลับออกมาแถลงการณ์ใหม่ว่าวัตถุที่ตกลงมาเมืองรอสเวลล์นั้นคือหรือบอลลูนตรวจสภาพอากาศ!!?

เรื่องมันเหมือนจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่หลายฝ่ายไม่ยอมให้จบ เพราะมีหลายคนพยายามสืบหาความจริงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่ว่าการสืบดังกล่าวเต็มไปด้วยอุปสรรค์มากมาย เพราะว่าพยานและผู้เกี่ยวข้องเกือบทั้งหมดต่างพากันปิดปากเงียบ โดยเฉพาะ “แม็ค” ดูเหมือนเขาจะกลัวเรื่องนี้มาก เขาปิดปากเงียบชจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของเขาในปี ๑๙๖๓ นอกจากนี้ยังมีพยานบางคนอ้างว่าเห็นศพมนุษย์ต่างดาวในห้องผ่าตัดในฐานทัพอากาศรอสเวลล์ แต่พยานดังกล่าวได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเสมือนว่าถูกอุ้ม ถึงกระนั้นการสืบค้นก็ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดก็มีแนวโน้มพอที่จะเชื่อว่าแถลงการณ์ของทางการทั้งหมดเป็นเรื่องกุขึ้น ปัจจุบันหลายฝ่ายยังคงหวังว่าทางการสหรัฐจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเหคุการณ์ดังกล่าว ว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ที่รอสเวลล์?

อ้างอิงจาก
http://www.tuaytoon.com/story.php?type=S&id=70

ฝรั่งเศสปิดภูเขากันคนแห่หนีวันสิ้นโลก



วันนี้ (16 พ.ย.) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากเมืองโอเดอ ประเทศฝรั่งเศส ว่า

คณะผู้บริหารแคว้นโอเดอ ทางภาคใต้ตอนกลางของประเทศฝรั่งเศส ประกาศเมื่อวันศุกร์ (16 พ.ย.) ว่า

ทางการเตรียมสั่งปิดภูเขาบูการาชในเมืองโอเดอ ห้ามประชาชนเข้าออกเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ในช่วงปลายเดือน ธ.ค. ที่จะถึง

เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

เนื่องจากมีรายงานว่า จะมีประชาชนจำนวนมาก ที่เชื่อในลัทธิวันสิ้นโลกตามคำทำนายในพระคัมภีร์ จะแห่กันไปหลบภัยที่ยอดเขาบูการาชลูกนี้

ซึ่งถูกระบุว่าเป็นที่แห่งเดียวที่จะพ้นภัย จากการสูญสิ้นของโลก

ที่คำทำนายระบุว่าจะมาถึงในวันที่ 21 ธ.ค. ปี ค.ศ. 2012.


ที่มา
http://www.dailynews.co.th/world/167172

ชมภาพภูเขาไฟในหนังดัง เดอะลอร์ดฯ เตรียมระเบิดในไม่ช้า

 
ชมภาพภูเขาไฟในหนังดัง เดอะลอร์ดฯ เตรียมระเบิดในไม่ช้า       

 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน เว็บไซต์เอบีซี รายงานว่า ภูเขาไฟรัวเปหุ (Ruapehu) ในนิวซีแลนด์ หรือที่เรียกว่า เมาท์ดูม (Mount Doom) ในภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings ใกล้จะเกิดการระเบิดแล้ว
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ภูเขาไฟดังกล่าว เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับและมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ กำลังเกิดแรงดันอย่างหนักบริเวณใต้พื้นโลก จนทำให้แผนกอนุรักษ์ธรรมชาติของนิวซีแลนด์ ได้ออกประกาศเตือนให้นักปีนเขาหลีกเลี่ยงการปีนขึ้นไปบนยอดเขา โดยผลจากการอ่านอุณหภูมิของนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า ความเสี่ยงของการเกิดภูเขาไฟระเบิดกำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะ

          ด้านนายแฮร์รี่ คีย์ ผู้จัดการด้านความเสี่ยงของภูเขาไฟ ระบุว่า ภูเขารัวเปหุกำลังเดือด และอุณหภูมิก็ขึ้นและลงอย่างหนัก แต่ภูเขาก็ยังไม่ระเบิดดังเช่นที่พวกเราคิดเอาไว้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน แต่ไม่ช้าก็เร็ว ภูเขาไฟลูกนี้ก็จะระเบิด อาจจะน้อยมากและไม่ก่อให้เกิดอันตราย หรือเป็นการระเบิดครั้งสำคัญก็ได้

          ด้านเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ กล่าวว่า อุณหภูมิ 100 เมตรใต้ทะเลสาบลาวาที่อยู่ใต้ในปากป่องภูเขาไฟนั้น คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 800 องศาเซลเซียส ในขณะที่อุณหภูมิของทะเลสาบลาวาเองอยู่ที่ 20 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นการชี้ว่า ช่องทางระบายออกส่วนหนึ่งถูกกันเอาไว้ และจะยิ่งทำให้ความดันเพิ่มสูงขึ้น และอาจจะทำให้เกิดภูเขาไฟระเบิด ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์หน้าไปจนถึงอีกหลายเดือนต่อจากนี้

          ทั้งนี้ ในปี 2007 ภูเขาไฟแห่งนี้ได้เกิดระเบิดขึ้นครั้งสุดท้าย และส่งผลให้ลาวาไฟไหลลงมาตามภูเขา แต่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่ในปี 1953 ลาวาจำนวนมากจากภูเขาไฟแห่งนี้ ได้ทำให้เกิดภัยพิบัติทางรถไฟครั้งร้ายแรงที่สุดในนิวซีแลนด์ เมื่อลาวาได้พังสะพานแทนกิไว จนทำให้ผู้โดยสารในรถไฟถูกพัดลงไปในแม่น้ำวันเกหู มีผู้เสียชีวิตกว่า 151 คน

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/78662

พายุสุริยะ เยือนโลก 21 ธ.ค.นี้ หวั่น! เกิดแผ่นดินไหว

 
พายุสุริยะ เยือนโลก 21 ธ.ค.นี้ หวั่น! เกิดแผ่นดินไหว

ดร.สมิทธ เตือน! พายุสุริยะ จะพัดเข้าหาโลก วันที่ 21 ธันวาคม นี้ หวั่นเกิดแผ่นดินไหวใต้ท้องทะเล จนเกิดเป็นคลื่นสึนามิ หรือมีผลกระทบอื่น ๆ

หลังจากมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จากองค์การนาซ่า (NASA) ออกมาว่า จะมีการเกิดปรากฏการณ์พายุสุริยะ พัดเอามวลความร้อนขนาดใหญ่เข้าสู่โลก ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2555 นี้

ล่าสุด ดร.สมิทธ ธรรมสโรจน์ ประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ พายุสุริยะ ได้ออกมาระบุว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 นี้ จะเป็นวันครบกำหนดการโคจรของพายุสุริยะ ที่จะเกิดขึ้นทุก ๆ 11 ปี ซึ่งอาจจะมีการพัดพาเอาพลังงานขนาดใหญ่พุ่งเข้าสู่โลก และอาจส่งผลกระทบต่อแกนโลกได้

ทั้งนี้ พายุสุริยะ เกิดจากการสะสมพลังงานแม่เหล็กในดวงอาทิตย์ไว้เป็นจำนวนมาก จนปะทุออกมาเป็นพลังงานความร้อน และปล่อยมวลความร้อนขนาดใหญ่จากโคโรนา หรือเส้นรัศมีรอบวงกลมสีดำที่อยู่ชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ ออกมาสู่จักรวาล และมีโอกาสพัดเข้าสู่โลกด้วย

โดยผลกระทบจากพายุสุริยะหากมีการสัมผัสกับร่างกายมนุษย์นั้น ยังไม่มีรายงานว่าจะเกิดอันตรายหรือไม่ แต่หากมีการกระทบกับผิวโลก ก็อาจจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนตัวแบบเฉียบพลัน

และหากกระทบกับมหาสมุทรก็อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหวใต้ท้องทะเล จนเป็นรอยแยก และมีคลื่นสึนามิเกิดขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นคนไทยจึงควรเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะประเทศไทยยังขาดความพร้อมในการรับมือแผ่นดินไหว จึงควรให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อเตรียมตัวกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

 
 
ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/78664

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เจ้าหญิง Kaoru Nakamaru แห่งญี่ปุ่นสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้



เจ้าหญิง Kaoru Nakamaru แห่งญี่ปุ่นสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้ ทรงเตือนภัยปี ค.ศ.2012 : นำมาให้ชมกัน โปรดใช้วิจารญาณในการรับชมนะครับ ไม่ได้ต้องการให้แตกตื่นหรือตระหนกแต่ประการใด หรือให้เชื่อหรือไม่เชื่อ แต่อยากให้ชมเพื่อเป็นข้อมูลและเพื่อความไม่ประมาทครับ

...


คำแปล:

ฉันชื่อ เจ้าหญิง Kaoru Nakamaru จากประเทศญี่ปุ่น ในปี 1976 ฉันเคยมีประสบการณ์ทางจิตที่น่าประหลาดใจมากอันหนึ่ง และนับตั้งแต่นั้นมา ตาที่สามของฉันก็เปิดออก ดังนั้น ฉันจึงสามารถติดต่อสื่อสารกับ UFO, ผู้คน และรวมถึงผู้ที่อยู่ใต้พื้นโลกได้ ซึ่งพวกเขาเป็นอารยธรรม ที่มีพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณสูงมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นหัวหน้าห้องสมุด ของโลกใต้พิภพคนนั้น ฉันก็ได้ติดต่อสื่อสารกับเขาด้วย

และจากข้อมูลการติดต่อสื่อสารทั้งหมดเหล่านี้ที่ฉันมี ทำให้ฉันเชื่อว่า ในปี 2012 วันที่ 22 ธันวาคม 2012 เป็นต้นไป มันจะมี 3 วันที่โลกใบนี้ จะเข้าไปสู่มิติที่ 5 เมื่อโลกผ่านเข้าไปสู่สถานที่แห่งนั้นแล้ว มันจะมี 3 วัน 3 คืนที่เราจะไม่มีไฟฟ้าใช้ มันจะเป็นคืนวันที่มืดมิดสนิทจริงๆ จะไม่มีดวงอาทิตย์ จะไม่มีดวงดาว ไม่มีแสงสว่างใดๆทั้งสิ้น พวกเราจะอยู่ในความมืดมิดอย่างแท้จริงเป็นเวลา 3 วัน

แต่ยังไม่มีสื่อสารมวลชนใด หรือข้อมูลข่าวสารใด ออกมาประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้เลย แต่รัฐบาลลับทั้งหลายรู้เรื่องนี้กันดี และพวกเขาก็เตรียมความปลอดภัยไว้ให้ตัวเองแล้ว พวกเขาพยายามที่จะหนีออกไปจากโลกใบนี้ หรือไม่ก็กำลังขุดอุโมงค์สร้างเมืองใต้ดินกันอยู่ อยู่ใต้ประเทศ นอร์เวย์ ฮอลแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ หรือออสเตรเลีย ซึ่งในนั้นจะจุคนได้ประมาณ 1 หมื่นคน และปลอดภัยอยู่ในนั้น

แต่ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะปลอดภัยหรอกนะ เพราะว่าพวกเราจำเป็นจะต้องชำระสะสางสภาวะจิตของตัวเราเองให้บริสุทธิ์ ทั้งทางด้านกายภาพ-และทางด้านจิตวิญญาณ ฉันจะบอกพวกคุณว่าเราจะสามารถทำได้อย่างไร เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพลานุภาพสูงสุด และพระผู้สร้าง คือพลังงาน และความรัก และแสงสว่างซึ่งส่วนหนึ่งของพลังงานความรักที่ว่านี้ ก็มีอยู่ในหัวใจของพวกเราทุกๆคน เราสามารถโกหกคนอื่นๆได้ แต่เราไม่สามารถที่จะโกหกตัวเราเองได้ นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันเรียกว่าจิตสำนึกหละ

มนุษย์โลกแต่ละคน มีส่วนที่สวยงามนั้นของพระผู้สร้าง อยู่ในวิญญาณของเราทุกๆคน ซึ่งวิญญาณนี้เองที่เป็นผู้ที่จะไปเวียนว่ายตายเกิด และเป็นส่วนที่จะอยู่ชั่วนิรันดร์ และอยู่ในตัวพวกเราทุกๆคน ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าจะชำระสะสางวิญญาณของเราให้บริสุทธิ์หละก็ เราต้องมองดูชีวิตของตัวเราเองด้วยจิตสำนึกอันนั้น เพื่อดูว่าทุกๆ 5 ปีหรือราวๆนั้น นับตั้งแต่ตอนที่เราเกิด เราประพฤติตัวอย่างไร เราค้นหาอย่างไร เราพูดอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถที่จะชำระสะสางได้ ด้วยการมองดูชีวิตของตัวเราเองทุกๆ 5 ปี จนถึงบัดนี้

ซึ่งด้วยวิธีการนี้ ทุกๆครั้งที่เราพบว่า เราได้ทำอะไรบางอย่างที่เป็นการทำร้ายคนอื่นแล้วหละก็ เราก็จะสามารถชำระสะสางมัน และทำให้มันบริสุทธิ์ได้ ซึ่งทุกๆครั้งที่เราค้นพบมัน หัวใจของเราจะขยายตัวใหญ่ขึ้น แล้วเราจะสามารถหายใจได้ลึกมากขึ้น และทุกๆครั้งที่เรามีประสบการณ์นี้ ความมืดมิดอันนี้ทั้งหมด ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาจากหัวใจของเรา แล้วแสงสว่างสีทอง ก็จะเข้ามาสู่หัวใจของเราแทน ด้วยวิธีการนี้ เราจะสามารถมองเห็นได้ดีขึ้น และดีขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้พวกเรายังพอมีเวลาอยู่ จนกว่าจะถึงปี 2012 วันที่ 22 ธันวาคม 2012ในทางกายภาพแล้ว พวกเรายังสามารถชำระสะสางร่างกายเนื้อของเราได้ด้วยโดยวิธีการแรกที่สุด พวกเราไม่ควรจะดื่ม "น้ำผลไม้กระป๋อง" หรือ "เบียร์กระป๋อง"เพราะว่าอลูมิเนียม เป็นสิ่งที่มีอันตรายต่อร่างกายของเรามากๆ และโดยที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เราจึงรับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้

ดังนั้น พวกเราแต่ละคนจึงสามารถที่จะดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเอง ด้วยวิธีการทำนองนี้และการออกกำลังกายบางประเภท ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นด้วย และทุกๆวันเราก็สามารถที่จะสะท้อน.......(ไม่ชัวร์นะครับ ฟังไม่ค่อยออก - ผู้แปล) จิตวิญญาณของเราได้ด้วยอย่างที่มันเป็น

ในแก่นแท้ของพวกเราทุกๆคน พวกเราก็คือแสงสว่างและความรัก เพราะว่าพวกเราทุกคน มีส่วนหนึ่งของพระผู้สร้างอยู่ในหัวใจของพวกเรา ซึ่งก็คือสิ่งที่ลงมาเวียนว่ายตายเกิดนี้ โดยการมามีชีวิตภพชาติแล้ว ภพชาติเล่าอยู่ในร่างกายเนื้อของเรา ที่อยู่บนโลกใบนี้ แต่จิตวิญญาณของเรา จะเทียวเข้าเทียวออก ร่างกายโน้น ไปร่างกายนี้อยู่ตลอดเวลา (เวียนว่ายตายเกิด-ผู้แปล)

บนโลกใบนี้ ฉันระลึกชาติได้ว่า ฉันเคยเกิดมาหลายพันชาติแล้ว นอกจากนี้ฉันยังเคยไปเกิดในส่วนต่างๆของโลก มาแล้วมากมายหลายแห่งอีกด้วย การระลึกชาติของฉัน ทำให้ความทรงจำฉันกลับคืนมา และทำให้ฉันสามารถพูดภาษาที่ฉันยังไม่เคยเรียนมาเลยได้ด้วย ดังนั้นในทางกายภาพแล้ว ฉันมีประสบการณ์กับทฤษฎีการเวียนว่ายตายเกิด นั่นก็ถูกต้องแต่อย่างไรก็ตาม ใครก็ตามที่ฟังการบรรยายครั้งนี้อยู่ ฉันคิดผู้คนเหล่านี้น่าจะปลอดภัย

พวกเรามีการแบ่งแยกกันเหลือเกิน ตั้งแต่ปี 1913 เพราะว่าคนที่เชื่อในเรื่องแบบนี้กับคนที่ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ ก็จะแบ่งแยกห่างออกจากกันลึกลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น ผู้คนในส่วนที่ไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้ ก็จะไม่เชื่อในเรื่องนี้ เพราะว่าพวกเขาเป็นคนที่มืดบอดด้านจิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง พวกเขาจะได้ไปเกิดในดาวดวงอื่น ที่เหมือนกับโลกใบนี้ ซึ่งที่นั่นก็จะมีความรุนแรง และมีสงครามเหมือนกัน แต่จะเป็นดาวดวงอื่น เอาหละคะ ตอนนี้พวกเราก็ได้เสร็จสิ้นการประชุมดีๆแบบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว อย่างรวดเร็ว ขอบคุณมากคะ

คลิป
http://www.youtube.com/watch?v=ucC4HKaTQOw

หมายเหตุ

วันเวลาที่เจ้าหญิง Kaoru Nakamaru แห่งญี่ปุ่น ได้แจ้งเตือนมานี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับว่าดาวหางเนบิรุ จะมาปรากฎให้เห็นเร็วหรือช้านั่นเอง เพราะมนุษย์ต่างดาว เขาสามารถบังคับการโคจรของดาวหางดวงนี้ได้ ดังที่ได้กล่าวให้ทราบมาแล้ว ดังนั้นจึงต้องคอยฟังข่าวจากพระอาจารย์รัตน์ อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาครับ

*ชาวโลกเค้าตื่นตัวกันขนาดนี้ และคนที่ออกมาเตือน เค้าเป็นถึงระัดับเจ้าหญิง เค้าคงไม่พูดเพ้อเจ้อหรอก รวมถึงรัฐบาลของหลายๆประเทศ เค้าเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว แต่เค้าปิดข่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจล และการกักตุนอาหาร

แต่คนไทยบางคนปฏิเสธลูกเดียว ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความรู้ แล้วก็ไม่ได้มีเครดิตอะไรกะเค้าเลย แต่คิดว่าตัวเองเก่ง*

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

DNA ของมนุษย์กำลังจะถูกเปลี่ยนแปลง

DNA ของมนุษย์กำลังจะถูกเปลี่ยนแปลง !!!

Chayutt สมาชิก

2012-ปีทองของยุคพลังงานใหม่-ยุคศิวิไลซ์แห่งการเลื่อนระดับขึ้น-ascension-ไปสู่มิติที่-5

สรุปเนื้อหาแบบย่อ:-

1). ตอนนี้โลกเรา ตัวเรา และระบบสุริยจักรวาลของเรา กำลัง Ascension อยู่ ปี 2012 จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดขึ้นมากๆ ทำไมถึงเชื่ออย่างนั้น

- เพราะเขามีหลักฐานทางดาราศาสตร์ชี้บ่งอยู่ อย่างที่ได้กล่าวไปบ้างแล้ว
- เพราะระดับพลังงานที่เปลี่ยนไป มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะตรวจวัดได้

2). การ Ascension นี้จะทำให้วิวัฒนาการของมนุษย์เรา และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆทั้งหมดมีร่างกาย และ ระดับจิตสำนึกที่ดีขึ้น ในส่วนของร่างกายเนื้อ DNA ก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น อายุยืนขึ้น แข็งแรงขึ้น แก่ช้าลง เฉลียวฉลาดขึ้น ในส่วนของจิตใจ และจิตสำนึก ก็จะเป็นคนดีขึ้น รักสันติ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน เมตตากรุณาต่อกันมากขึ้น มีความสามารถทางจิตมากขึ้น สิ่งที่เคยถูกกำจัดไว้ ก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม เช่น การโทรจิต เป็นต้น

สภาพแวดล้อมต่างๆของโลก ก็จะกลับมาสู่สภาวะที่ดีดังเดิม ทำไมถึงเชื่อเช่นนั้น

- เขามีรายงานการตรวจสอบ IQ ของมนุษย์ยุคนี้ เปรียบเทียบให้เห็นถึงความเร่งของวิวัฒนาการทางสติปัญญา
- เขามีอัตราการเจริญเติบโตด้านเทคโนโลยี และอื่นๆ เปรียบเทียบกับหลาย 100 ปีที่ผ่านมาเทียบให้ดู
- รูปธรรมชีวิตต่างมิติที่สื่อสารผ่านทางโทรจิตมาหาคนทั่วโลก บอกมาแบบนั้น

3). หลักฐานของสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ยิ่งกว่ามีซะอีกครับ เพราะมันมีเยอะเหลือเกินและโยงใยไปถึงศาสตร์เกือบทุกแขนงเลยทีเดียว เช่น

3.1). มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม๊ จะมาช่วยโลก และช่วยเรา ในการ Ascension ครั้งนี้ไหม๊

อันนี้ผมก็ได้นำเสนอไปบ้างแล้ว และเดี๋ยวอีกไม่นานผมก็จะตั้งกระทู้อีกกระทู้หนึ่ง เรื่องการจะประกาศเปิดเผยตัวตนของมนุษย์ต่างดาวทางโทรทัศน์ของอเมริกา ซึ่งประธานาธิปดี โอบาม่า อาจจะเป็นผู้ประกาศเองด้วยครับ กำหนดการของเขา เขายังไม่เปิดเผยวันเวลาให้สาธารณชนรู้ แต่เห็นบอกว่า ความยาวของรายการออกอากาศ น่าจะประมาณ 2 ชั่วโมง โดยมีมนุษย์ต่างดาวตัวจริงมาร่วมรายการด้วยหลายคน

crop cycle และปรากฏการณ์ทั้งหลายบนท้องฟ้า และ UFO ต่างๆทั่วโลกที่พบเจอกันมานานนับร้อยปีแล้วนี้ก็ด้วย ถ้าเป็นคนที่ไม่โง่งมงาย หรือ หูตามืดบอดมากจนเกินไป ก็น่าจะพอระแคะระคายอะไรได้บ้างแล้วหละนะผมว่า

3.2). ทำไมถึงบอกว่าเรากำลังอยู่ในระหว่าง Ascension

คำตอบคือเพราะระบบสุริยจักรวาลของเราอกำลังเคลื่อนตัวเข้าไปสู่ Photon zone ซึ่งเป็นโซนของพลังงานด้านบวกระดับสูงอยู่จริง

3.3). แล้วทำไมถึงคิดว่าพลังงานนี้ถึงจะส่งผลกระทบต่างๆต่อวิวัฒนการของเราในทางที่ดีขึ้นจริงๆ

อันนี้ก็เพราะว่ามีผลงานวิจัยมากมาย และรู้กันแพร่หลายมานานแล้ว เกี่ยวกับ "รังสี" ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจริง และก็มีผลการทดลองเกี่ยวกับคลื่นความสั่นสะเทือนที่ไม่ใช่รังสี ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจริง เช่น

- การทดลองส่งคลื่นเข้าไปในไข่เป็ด แล้วนำไปฟักเป็นตัว ลูกเป็ดประมาณ 20% เปลี่ยนไป

- การทดลองส่งคลื่นไปสู่ไข่กบหรือไงนี่แหละ แต่สรุปว่าเป็นของกบแน่ๆ แล้วทำให้กบกลายเป็นซาลาแมนเด้อได้

- การทดลองส่งคลื่นความสั่นสะเทือนไปในกะบะทราย ทำให้ทรายฟอร์มรูปร่างที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับความถี่ที่ส่งเข้าไป คือยิ่งความถี่สูง รูปแบบของรูปทรงก็ยิ่งซับซ้อนและสวยงามมากขึ้น อันนี้ค้นหาคำว่า Cymatic ใน internet นะครับ

3.4). ทำไมถึงคิดว่าคลื่นหรือความสั่นสะเทือนที่มีผลกระทบต่อ DNA แล้วจะมาทำให้เรามีจิตสำนึกที่ดีขึ้นด้วย

คำตอบสั้นๆคือเพราะ DNA ควบคุมร่างกาย และ DNA เป็นช่องทางผ่านเข้า-ออกของพลังงานจากจักรวาลด้วย

ถ้าถามต่อว่า ทำไมถึงเชื่อว่า DNA เป็นช่องทางผ่านเข้า-ออกของพลังงานจากจักรวาล ก็จะตอบว่า เพราะ DNA มีคุณสมบัติของความเป็นควอนตั้มอยู่ในตัวเอง และ 97% ของ DNA ที่ปัจจุบันนี้ วงการวิทยาศาสตร์บอกว่ามันเป็น DNA ขยะ คือไม่ได้ถูกนำมาใช้งานอะไรนั้น ที่แท้คือ มันทำหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่

และเขาก็มีการทดลองเอา DNA ใส่หลอดทดลอง แล้วปล่อยโฟตอนเข้าไป พบว่าโฟตอนจะไปเกาะอยู่รอบๆ DNA และแม้แต่เอา DNA ออกไปแล้ว อนุภาคโฟตอนพวกนั้น ก็ยังทำท่าเกาะอยู่เหมือนเดิมอย่างนั้นแหละ เหมือนกับว่า DNA ยังอยู่อย่างนั้นแหละ

อันนี้ก็บอกได้ว่า ตัวเราทั้งตัวเนี่ย ที่มี DNA อยู่ในเซลทุกๆเซลเนี่ย มีความสัพันธ์ใกล้ชิดกับพลังงานแสง หรือโฟตอนอย่างมาก แล้วนับประสาอะไรกับที่กำลังจะเข้าไปอาบ ไปแช่อยู่ในแถบโฟตอน ที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นมากกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่ 100 กี่พันเท่าอยู่เนี่ยและถ้าถามต่อว่าทำไมถึงบอกว่า DNA มีคุณสมบัติของควอนตัมอยู่ เพราะทุกอย่างล้วนประกอบด้วยอนุภาคระดับควอนตัมทั้งนั้น

4). แล้วทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ทำไมถึงเชื่อว่ามันจะปรากฏชัดเจน หรือเกิดขึ้นในปี 2012 ด้วย คำตอบสั้นๆคือ

- เพราะค่าความแรงของสนามแม่เหล็กโลกลดลงเรื่อยๆ และจะลดเป็น 0 (ตามกราฟที่ plot ไว้)ในปี 2012 ซึ่งระดับความเข้มของสนามแม่เหล็กโลก จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสาเหตุหลักเพียงสาเหตุเดียว นั่นก็คือ "อัตราเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลก" หรือจะแปลอีกอย่างก็คือว่า "ในปี 2012 โลกจะหยุดหมุนชั่วคราว!!"

- ค่า Schumann resonance ของโลกค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะไปเป็นเท่าไหร่ก็จำไม่ค่อยได้ ในปี 2012 ซึ่งนั่นหมายความว่า "ขั้วแม่เหล็กโลก จะสลับขั้วกัน" ซึ่งในช่วงเสี้ยววินาทีที่ขั้วแม่เหล็กสลับขั้วกันนั้น โลกจะปราศจากสนามแม่เหล็กชั่วคราว และจะเป็นช่วงที่เข้าสู่ ภาวะ "Zero point"

ลองไปค้นหาใน internet ดูต่อนะครับว่าสภาวะนี้สำคัญอย่างไร มีผลต่อร่างกาย และจิตวิญญาณ และระดับความสั่นสะเทือน และระดับพลังงานของเราอย่างไร ตอนนี้แหละที่จะแยกระหว่างคนที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงกับต่ำออกจากกันได้ชัดเจน เพราะกลุ่มหนึ่งจะรอด ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งร่างกายจะทนไม่ได้ ก็จะต้องตายไป

ข้อมูลที่สนับสนุนคำกล่าวทั้งหมดนี้ ผมมีหมดแล้ว แต่ติดที่ว่า ต้องอ่าน และแปลก่อนถึงจะเอามาเรียบเรียง และโพสต์ให้พวกท่านอ่านได้หนะครับ ซึ่งงานนี้ ก็หนักเอาการพอสมควรครับ ใจเย็นๆนะครับ ทุกๆโพสต์ของผม มีความหมายที่อยากจะสื่อหมดนั่นแหละครับ

ที่มา http://board.palungjit.com/f2/2012-%...-217055-4.html

ตอบคำถามเรื่องการยกระดับโลกจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 4 และ 5

ตอบคำถามเรื่องการยกระดับโลกจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 4 และ 5 !!!

Chayutt สมาชิก

ปี 2012 สาส์นแห่งการยกระดับขึ้น – จาก แมทธิว วาร์ด (Matthew Ward) สื่อสารทางจิตมาเมื่อ 7 กุมภาพันธุ์ 2009 โดย: Suzy Ward ผู้รับการสื่อสารทางจิตจาก Matthew Ward วันที่: วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธุ์ 2009

ตอนนี้ผมควรจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับความสำคัญ ของอัตตาตัวตนรวมของพวกคุณ ซึ่งในฐานะปัจเจกบุคคล พวกคุณแต่ละคนสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตนเอง แต่สำหรับโลกแห่งความเป็นจริงของโลกทั้งโลก มันเป็นผลมาจากจิตสำนึกโดยรวมของทุกสรรพชีวิตบนโลกทั้งโลก ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสภาวะต่างๆที่จะเกิดขึ้นบนโลก นี่คือเหตุผลว่าทำไมความคิดเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่พวกคุณต้องการ และโลกในแบบที่พวกคุณต้องการ จึงมีความสำคัญนักหนา

ผมขอเล่าย้อนไปสักเล็กน้อย ตอนที่คุณแม่ของผมได้ถามผมว่าเคยท้อแท้บ้างไหม๊ เพราะว่ามนุษย์จำนวนมากคิดถึงแต่เรื่องเกี่ยวกับสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น การปกครองโดยทรราช การคอรัปชั่นที่รุนแรง และเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองต่างๆ หรือแม้แต่ความกลัวว่าสภาพอันเลวร้ายของโลกในปัจจุบันนี้ จะตกทอดไปถึงชนรุ่นหลังของพวกเขา คุณแม่ของผมสงสัยว่ากระแสพลังจิตในทิศทางที่ไม่พึงปรารถนาของผู้คนเหล่านี้ มันไปส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกโดยรวมของโลก และต่อการยกระดับจิตสำนึกของโลกได้อย่างไร

ตอนนั้นผมได้บอกกับคุณแม่ของผมไปว่า ทางเลือกอิสระของดาวเคราะห์โลกเอง คือการยกระดับขึ้นไปสู่มิติที่ 5 และการเลือกเพื่อความก้าวหน้าของดาวเคราะห์โลกนี้ ไม่เพียงแต่จะมีเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและความมั่นคงเท่านั้น แต่ผลสืบเนื่อง ดาวเคราะห์โลกใบนี้กำลังมีการยกระดับขึ้นอยู่แล้ว และตอนนั้นผมยังได้บอกคุณแม่ของผมไปด้วยว่า ผมไม่ได้รู้สึกท้อแท้ไปมากกว่าความรู้สึกเสียใจกับผู้คน ที่ใช้ทางเลือกอิสระของพวกเขาเพื่อปฏิเสธแสงสว่างที่จะนำพวกเขาไปสู่การรู้แจ้งและการยกระดับขึ้นเลย

ด้วยข้อมูลพื้นฐานเล็กๆน้อยๆ ที่ว่า การยกระดับของดาวเคราะห์โลกได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ผมจึงสามารถตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ได้:-

1. มันจะเป็นการยกระดับในรูปแบบของไปทั้งกายเนื้อ หรือว่าไปเฉพาะวิญญาณในรูปแบบของกายทิพย์?

2. การยกระดับจะเกิดขึ้นในปี 2012 ใช่หรือไม่?

3. ใครหรืออะไรที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า จะให้ใครยกระดับขึ้นไปพร้อมกับโลกด้วยได้?

4. การยกระดับที่ว่านี้ หมายถึงการถูกยกขึ้นไปไว้ในยานอวกาศใช่หรือไม่?

5. ที่ชาวโลกกำลังจะถูกยกระดับขึ้น เพราะว่าดาวเคราะห์โลกกำลังจะถูกทำลายใช่หรือไม่? และถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วมนุษย์โลกจะไปอยู่ที่ไหน?

6. มันจะมีตัวชี้วัดอะไรที่ไม่ผิดพลาดบ้างหรือไม่ ที่จะบอกให้ทราบว่ามนุษย์โลกคนไหน ที่จะถูกยกระดับหรือไม่ถูกยกระดับไปพร้อมกับดาวเคราะห์โลก?

7. มนุษย์โลกจะสามารถยกระดับได้หรือไม่ หากเขายังไม่รู้ว่าอะไรคือพันธะสัญญาณทางจิตวิญญาณ สำหรับภารกิจในชีวิตนี้ของตนเอง?

8. ถ้าดาวเคราะห์โลกกำลังมีการยกระดับขึ้นจริง แล้วทำไมมันยังมีเรื่องวุ่นวายมากมายเหมือนเดิมอยู่หละ? เมื่อไหร่กระบวนการยกระดับนี้มันจึงจะสิ้นสุดลง?

9. และก็ยังมีคำถามอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ “แสงสว่าง” อีก ซึ่งเราจะกล่าวถึงในภายหลัง

ตอบคำถาม:-

1. ชาวโลกที่ได้รับ “แสงสว่างนั้น”(The light) จะมีการยกระดับทางกายเนื้อไปพร้อมๆกับดาวเคราะห์โลก ซึ่งจะก้าวหน้าไปสู่ระดับการสั่นสะเทือนของมิติที่ 4 และ 5 การดูดซับแสงสว่างนั้น จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเซลของร่างกายในมิติที่ 3 ที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลักซึ่งไม่อาจจะรอดชีวิตอยู่ได้ ในสภาวะที่มีความเข้มของแสงสว่างในระดับความสั่นสะเทือนที่สูงกว่าได้ ไปสู่โครงสร้างที่เป็นผลึก ซึ่งจะสามารถรอดชีวิตอยู่ได้ในสภาวะดังกล่าวแทน

ผมอยากจะกล่าวเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยว่า ชาวโลกที่เปลี่ยนรูปแบบชีวิตจากกายภาพไปสู่จิตวิญญาณ (ตาย) ในระหว่างที่ดาวเคราะห์โลกกำลังยกระดับอยู่นี้ รวมถึงชาวโลกที่ได้เปลี่ยนรูปแบบชีวิตไปแล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี้ จริงๆแล้วอาจจะต้องได้รับการ “ปรับให้มีคุณสมบัติเหมาะสม” ตราบเท่าที่พวกเขายังมีแสงสว่างอยู่เพียงพอ (มีความดีพอ) แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องเป็นไปตามพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณดั้งเดิม หรือพันธะสัญญาที่พัฒนาให้ดีขึ้นแล้วของพวกเขาเอง ที่ได้เลือกเอาไว้ในการมามีชีวิตอยู่ด้วย

2. การยกระดับของดาวเคราะห์โลก มันคือกระบวนการเปลี่ยนสภาพของดาวเคราะห์โลก และกระบวนการปรับสภาวะทางจิตวิญญาณใหม่ เพื่อให้ดาวเคราะห์โลกสามารถลอยสูงขึ้นเหนือมิติที่ 3 ได้ แล้วเข้าไปสู่ “ยุคทอง” (Golden Age) ต่อไปได้ กระบวนการยกระดับดังกล่าวนี้ ได้เริ่มเกิดขึ้นมานานร่วม 70 ปีของมนุษย์แล้วและบัดนี้ก็ยังคงดำเนินไปอยู่ มันจะสิ้นสุดลงในปี 2012

ความมืดที่ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา จะถูกทำให้สาบสูญไป แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่าภายหลังปี 2012 แล้ว จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก เพราะว่ามันยังจะมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆอีกมากมายที่วิเศษและยอดเยี่ยมอยู่อีกต่อไปหลายปี รวมถึงการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณและทางภูมิปัญญาด้วย ชีวิตคือกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ ชีวิตคือกระบวนการจดจำอย่างมีสติของความรู้ภายในจิตวิญญาณ (Life is a process of consciously remembering the knowledge within the soul)

3. การตัดสินว่าใครจะได้ยกระดับขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้นั้นเอง ไม่ใช่จะมีใครไปตัดสินโดยพละการให้ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแต่ละบุคคล ซึ่งได้สมัครใจเลือกที่จะเป็นแสงสว่างหรือความมืดเอง ผู้ใดที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งแสงสว่างก็จะได้ยกระดับขึ้น อย่างที่ผมเคยอธิบายไว้แล้ว และเดี่ยวอีกสักพัก ผมจะพูดถึงผู้ที่เลือกเอาความมืด

4. การยกระดับขึ้น ไม่ได้หมายถึงการถูกนำขึ้นไปไว้บนยานอวกาศ แต่อย่างไรก็ตามจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ การได้ไปเยี่ยมลูกเรือของกองทัพแห่งจักรวาลในยานอวกาศของพวกเขา ก็ถือเป็นกำไรชีวิตอีกอย่างหนึ่ง ของผู้ที่มีความสว่างไสวทางจิตวิญญาณและผู้ที่รู้แจ้งแล้วทั้งหลาย

5. ดาวเคราะห์โลกจะไม่ถูกทำลายอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม ดาวเคราะห์โลกกำลังถูกปรับสภาพ ให้กลับไปอยู่ในสภาวะที่มีสุขภาพดีเหมือนเดิม ตลอดเส้นทางแห่งกระบวนการยกระดับขึ้นนี้ และสวนแห่งเอเดน (Eden) ที่สวยงามก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง

6. มันไม่มีตัวชี้วัดที่ไม่ผิดพลาดใดๆ ที่จะบอกได้ว่าใครจะยกระดับขึ้นไปกับพร้อมกับโลกได้หรือไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่อยู่กับแต่ละบุคคลอย่างจำเพาะเจาะจงพูดสั้นๆก็คือ การยกระดับขึ้นของแต่ละบุคคล คือการรวมจิตสำนึกและวิญญาณของคนๆนั้นให้เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือในแง่มุมที่พอจะมองเห็นได้ ก็คือการยกระดับจิตสำนึก การมีพลังอำนาจในการตัดสินถูกผิดดีชั่วมากขึ้น และการมีสัญชาตญาณที่เชื่อถือได้ ซึ่งนี่ต้องเกิดจากการเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลาของการตระหนักรู้ในตัวตนรวมที่สูงกว่าของตัวเอง (higher self) หรือพระผู้เป็นเจ้า/พุทธจิต (God/Goddess self) และจิตเดิมแท้ (True spirituality) ซึ่งก็คือความรับรู้ถึงความสงบสุข ที่เกิดจากการดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การจัดสรรค์ของพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของตัวเอง

คุณรู้สึกเหมือนว่าคุณ “กำลังดำเนินตามกระแส” แทนที่จะรู้สึกว่า “กำลังทวนกระแส” การค้นพบตัวเอง อาจจะปิ๊งแวปขึ้นโดยฉับพลันในโอกาสต่างๆ ซึ่งนี่อาจจะถือเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งอาการบ่งบอกดังกล่าวนี้ ก็แปลกแตกต่างกันไป เช่น อาจจะประจักษ์ถึงวิถีทางที่ดีที่สุด ที่จะจัดการกับสถานการณ์ที่สับสนอลหม่าน หรือความสัมพันธ์ที่ยากลำบากได้ หรือ อาจจะเกิดแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนวิถีชีวิตไปสู่เส้นทางใหม่หรือสถานที่ใหม่ หรือบางทีอาจจะได้รับคำตอบของโจทย์บางอย่างก็ได้

7. กรุณาอย่าเพิ่งเป็นกังวล หากคุณยังไม่รู้ว่าพันธะสัญญาของภารกิจชีวิตของคุณคืออะไร เพราะว่ามีชาวโลกเพียงหยิบมือเดียวที่รู้เกี่ยวกับพันธะสัญญาด้านจิตวิญญาณ (Soul contract) ของชีวิตตนเอง เพียงแต่ดำเนินชีวิตไปตาม”เสียงจากภายใน”(Inner voice) ซึ่งเป็นข้อมูลการสื่อสารจากวิญญาณของคุณ ถึงจิตสำนึกของคุณเองก็เพียงพอแล้ว เพราะมันจะนำคุณไปสู่ภารกิจชีวิตของคุณเองอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งอาจแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน คุณจะพบเองว่าที่ไหนคือที่ๆต้องการคุณมากที่สุด และสามารถทำให้คุณมีคุณค่ามากที่สุด เมื่อนั้นคุณก็จะรู้สึกมั่นใจที่จะเติมเต็มเป้าหมายนั้น

กรุณาอย่ารู้สึกว่าคุณต้องไปทำภารกิจอะไรที่สำคัญและยิ่งใหญ่มากมาย เพราะว่าพวกคุณแต่ละคนนั้นมีความสำคัญอยู่แล้ว คุณอาจจะคิดเปรียบเทียบตัวคุณเองกับคนอื่นๆ แล้วคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณยังอุทิศตนเองน้อยเกินไป อย่ากระนั้นเลย ทำอย่างที่คุณเป็นจริงๆในระดับจิตวิญญาณนั้นก็เพียงพอแล้ว แม้ว่าคุณอาจจะยังไม่ตระหนักรู้ว่าคุณกำลังปฏิบัติภารกิจชีวิตตามพันธะสัญญาก่อนลงมาเกิดของคุณอยู่ก็ตาม แต่คุณก็กำลังทำมันอยู่ และกำลังแผ่กระจายแสงสว่างออกไปสู่ทุกๆชีวิตที่คุณสัมผัสพวกเขาอยู่แล้ว

8. เหตุการณ์ความไม่สงบก็ยังคงเป็นสัจธรรมของชีวิต สำหรับโลกของพวกคุณอยู่ เพราะมันเกี่ยวข้องอยู่กับ เคราะห์กรรมของชาวโลกผู้ที่จะไม่ได้ยกระดับขึ้นไปพร้อมๆกับโลก ในช่วงหัวลิ้วหัวต่อนี้ จิตสำนึกโดยรวม (The Collective Consciousness) จะยังคงได้รับอิทธิพลจากพลังแห่งความมืดที่ยังหลบซ่อนและแอบซุ่มโจมตีอยู่ ชาวโลกที่ไม่ยอมเลิกแสดงบทบาท “ผู้ร้าย” ซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยเป็นแค่ส่วนประกอบของวิบากกรรมของพวกเขาเท่านั้น (แต่เพราะว่าพวกเขาติดใจบทบาทนี้มากจนเลิกไม่ได้) จึงทำให้พวกเขาได้กลายไปเป็นนักโทษของความมืดไปเสียแล้ว

และเพราะว่าดาวเคราะห์โลกกำลังเคลื่อนเข้าไปสู่ระดับคลื่นความสั่นสะเทือนที่มีความถี่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวโลกคนไหนที่จมปรักอยู่แต่ในโลกมืด มีความโหดเหี้ยมไร้จิตสำนึก กระหายอำนาจ ซึ่งคนเหล่านี้บางส่วนอยู่ในชนชั้นปกครอง บางส่วนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอะไรๆที่เกี่ยวข้องกับสาธารณชน จะต้องตายไปจากโลกนี้ และเพราะว่าพวกเขาเหล่านั้น ปราศจากพลังงานแห่งแสงสว่าง ที่เป็นพลังชีวิตของวิญญาณที่สำคัญ ดังนั้นร่างกายของพวกเขาจะตาย ส่วนวิญญาณของพวกเขาจะดิ่งลงไปสู่ระนาบต่างๆที่มีระดับพลังงานหนาทึบมากๆ ที่เหมาะเจาะกับรูปแบบพลังงานที่ถูกบันทึกไว้ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา ซึ่งในสถานที่เหล่านั้นมันจะมีลำแสงสว่าง ลำหนึ่ง ถูกส่งไปให้อย่างต่อเนื่อง และถ้าพวกเขายอมรับมัน จิตสำนึกของพวกเขาก็จะถูกดึงขึ้นมา

9. และตอนนี้เราจะมาพูดถึงผู้ที่ “จะว่าดีก็ไม่ใช่ จะว่าร้ายก็ไม่เชิง” กัน มันอาจจะดูเหมือนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตสำนึกมวลรวมอยู่เพราะว่าคนประเภทนี้ กำลังแกว่งสลับไปมาระหว่างความดีและความชั่ว พวกเขาปิดๆเปิดๆใจของตนเองในการยอมรับจิตสำนึกที่สูงกว่า ซึ่งคลื่นความถี่ที่สูงกว่าที่เกิดจากหนทาง แห่งการยกระดับขึ้นของโลกเป็นผู้มอบให้ ถ้าพวกเขายังแกว่งไปมาอยู่แบบนี้นานเกินไป พวกเขาก็จะยังติดอยู่ในโลกมิติที่ 3 ที่มีข้อจำกัดด้านจิตวิญญาณและภูมิปัญญาเป็นอย่างมาก

แต่ได้โปรดรู้ไว้ด้วยว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนเลว เพียงแต่พวกเขาเลือกที่จะปิดใจ มากกว่าเปิดใจเท่านั้นเอง จิตวิญญาณแห่งแสงสว่างที่อยู่ในทุกๆภพภูมิกำลังลุ้นและเชียร์คนประเภทนี้ทุกๆคนอยู่ เพราะอยากให้พวกเขาตอบสนองต่อแสงสว่างและตื่นขึ้นมาได้ทันเวลา ที่จะได้เข้าไปสู่ยุคทองพร้อมๆกับโลก

ที่มา http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8...193101-21.html

พื้นที่ปลอดภัยยามเกิดอภิมหันตภัย ในจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

จริง ๆ ตั้งใจจะรวบรวมข้อมูลและรูปภาพให้
เรียบร้อยก่อน แต่บังเอิญได้อ่านเรื่องราวของ
โรคเอดส์ และไข้หวัดนกสายพันธ์ใหม่เสียก่อน
จึงเกรงว่า ถ้ามัวแต่รวบรวมข้อมูลอยู่ อาจจะทำให้
หลายคนเตรียมการไม่ทันการ แต่ผู้เขียนไม่ต้องการ
ให้ทุกคนตื่นตระหนก แต่เราตื่นตัวในการตั้งรับไว้
เสียก่อนดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นสารพัดโรคหรือภัยพิบัติ
ที่จะเกิดหรือไม่ก็ตาม

ปัจจุบันหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย กำลังประสบ
กับภัยพิบัติ ซึ่งนับได้ว่ายังเป็นแค่สัญญาณ
เตือนเท่านั้น ยังต้องพบประสบกับอภิมหันตภัย
ครั้งใหญ่ ซึ่งการที่ผู้เขียนออกมาเขียนในครั้งนี้
ไม่ใช่ต้องการสร้างความตื่นตระหนก หรือ
ความหวาดกลัวในหมู่ผู้คนแต่อย่างใด แต่
ต้องการให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
และเตรียมการในการช่วยเหลือตนเองและ
เพื่อนพ้อง ผู้เขียนและกัลยณมิตรได้เดินทาง
กันไปแทบทุกจังหวัด ไม่อยากบอกความจริง
เลยว่า ไม่มีที่ใดในประเทศไทยที่จะปลอดภัยได้
อย่างแท้จริง เนื่องจากทุกคนนั้น ย่อมมีกรรม
เป็นเผ่าพันธุ์ ถึงแม้ท่านจะอพยพในไปในที่ ๆ
ท่านคิดว่าปลอดภัยแล้ว อาจจะต้องมีเหตุที่
ทำให้ท่านต้องออกจากพื้นที่ หรือต้องประสบ
กับภัยอย่างอื่นก็ได้ เพราะว่ากรรมจัดสรร
ดังนั้น ท่านต้องใช้ชีวิตในทางที่ไม่ประมาท
โดยการคิดดี ทำดี ปฏิบัติดี ไม่ว่าทุกชาติ
ทุกศาสนา ขอให้พึงระลึกเสมอว่า

“คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”

เหมือนดังบทกลอนที่ว่า

“ไม่ถึงที่ตายก็ไม่วายชีวาวาตย์
ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ
เมื่อถึงที่ตายต้องต้องวายชีวาวัน
มิใครทันทำร้ายก็ตายเอง”

สรุปได้ว่า เรารู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม
เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ผู้เขียนไปมาทั่ว
ขอบอกให้รู้เลยค่ะว่า ไม่ว่าจะเป็นคนเมือง
หรือแถวชนบท เขาทราบข่าวนี้กันถ้วนทุกคน
ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กแดง
แม้กระทั่งจังหวัดหรือสถานที่ที่มีข่าวว่าจะเกิด
ภัยพิบัติ แต่พวกเขาเหล่านั้นคิดอย่างไร

การปฎิบัติจิต ตั้งอารมณ์ใจ --เมื่อมีแต่ข่าวภัยพิบัติ

ภัทเทกรัตตคาถา
(หันทะ มะยัง ภัทเทกะรัตตะคาถาโย ภะณามะ เส)
เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาแสดงผู้มีราตรีเดียวเจริญเถิด
อะตีตัง นาน๎วาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง
บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย, และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง
ยะทะตีตัมปะหีนันตัง อัปปัตตัญจะ อะนาคะตัง
สิ่งเป็นอดีตก็ละไปแล้ว, สิ่งเป็นอนาคตก็ยังไม่มา



ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ,
อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตัง วิทธา มะนุพ๎รูหะเย
ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง,
ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน, เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้
อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว
ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้, ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้


นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา
เพราะการผัดเพี้ยนต่อมัจจุราชซึ่งมีเสนามากย่อมไม่มีสำหรับเรา



เอวัง วิหาริมาตาปิง อะโหรัตตะมะตันทิตัง,
ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ สันโต อาจิกขะเต มุนิ
มุนีผู้สงบย่อมกล่าวเรียกผู้มีความเพียรอยู่เช่นนั้น,
ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืนว่า, "ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียว ก็น่าชม"

คาดการพิบัติภัยไทยกับการเตือนภัยและสร้างที่หลบภัยครั้งสุดท้าย..

คลิป.. การเสวนาเรื่อง "คาดการพิบัติภัยไทยกับการเตือนภัยและสร้างที่หลบภัยครั้งสุดท้าย"

วันอังคาร ที่ 18 กันยายน 2555 ห้องศาลาแดง โรงแรมดุสิตธานี


หัวข้อการเสวนา

๑. การสลับขั้วสนามแม่เหล็กโลก

๒. การเคลื่อนตัวเลื่อนองศาทางภูมิศาสตร์ของโลก (Pole Shift)

๓. การเพิ่มปริมาณของน้ำในโลกและน้ำจะท่วมโลกหรือไม่?

๔. การระเบิดของดวงอาทิตย์ CME คือต้นเหตุของพิบัติทั้งหมด ?

- การเตรียมการของประเทศสหรัฐอเมริกา

- การเตรียมการของประเทศสหราชอาณาจักร

- การเตรียมการของประเทศญี่ปุ่น

- การเตรียมการของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน

- ทำไมต้องมีการเตรียมการปราบซอมบี้ในต่างประเทศ

- การสั่งโลงศพใส่ได้ ๓-๕ ร่าง มากกว่า ๒ ล้านโลงของ FEMA

- การสร้างที่หลบภัยใต้ดินในต่างประเทศ


การเตรียมการของสยามประเทศการเตรียมการรับมือพิบัติภัย

- เปิดเผยพื้นที่เสี่ยงภัยภายในประเทศ จากเหตุการแบบต่างๆ

- พื้นที่ปลอดภัยหรือโดนภัยน้อยที่สุด

- การเอาตัวรอด ให้ตลอดรอดฝั่งพ้นปี พ.ศ. ๒๕๖๐

- สถานที่หลบภัยสาธารณะ

- ตัวอย่างห้องหลบภัยใต้ดิน

- การจัดเป้ฉุกเฉิน

- การสื่อสารในขณะเกิดภัย

- การหลบเลี่ยวพายุกัมมันตภาพรังสี

- อาหารที่ช่วยลดความรุนแรงของรังสี

- การฝึกสมาธิช่วยสร้างสนามแม่เหล็กป้องกันตนเองได้หรือไม่?

วิทยากรที่ร่วมเสวนา

๑. พระอาจารย์รัตน์

๒. ดร.ก้องภพ อยู่เย็น

๓. ดร.สมิทธ ธรรมสโรจ

๔. ดร.เทพพนม เมืองแมน (ผ่านSkype)
……………………………………..............
















เครดิต..ท่าน Falkman

"วาระสุดท้ายของโลก" จากพระไตรปิฎก


249 วาระสุดท้ายของโลก

ปัญหา นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า โลกของเราจะมีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านปีแล้วก็จะแตกดับ ทางพระพุทธศาสนาแสดงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ
 
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม.... ควรเบื่อหน่าย.... ควรคลานกำหนัด.... ควรหลุดพ้น

“ขุนเขาสิเนรุโดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยกว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงจากมหาสมุทรขึ้นไป ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีกาลบางคราวที่ฝนไม่ตกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี เมื่อฝนไม่ตก พืชคาม ภูตคามและติณชาติป่าไม้ใหญ่ย่อมเฉา เหี่ยวแห้ง เป็นอยู่ไม่ได้

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่สองปรากฏ...แม่น้ำลำคลองทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฏ...แม่น้ำสายใหญ่ ๆ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรพู มหี ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ...แม่น้ำสายใหญ่ ๆ ที่ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรพู มหี ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ...น้ำในมหาสมุทรลึก ๑๐๐ โยชน์ก็ดี.... ๗๐๐ โยชน์ก็ดี ย่อมงวดลงเหลืออยู่เพียง ๗ ชั่วต้นตาลก็มี ๖ ชั่วต้นตาลก็มี.... ชั่วต้นตาลเดียวก็มี แล้วยังจะเหลืออยู่ ๗ ชั่วคน ๖ ชั่วคน.... เพียงเขา... เพียงรอยเท้าโค

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๖ ปรากฏ...แผ่นดินใหญ่นี้และเขาสินเนรุ ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น เปรียบเหมือนนายช่างหม้อเผาหม้อที่ปั้นดีแล้ว ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น ฉะนั้น

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏ...แผ่นดินใหญ่นี้และเขาสินเนรุ ไฟจะติดทั่วลุกโชติช่วง มีแสงเพลิงเป็นอันเดียวกัน.... เมื่อแผ่นดินใหญ่และเขาสิเนรุ ถูกไฟเผาผลาญอยู่ ย่อมไม่ปรากฏขี้เถ้าและเขม่า.....

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย..... สังขารทั้งหลาย.... เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม ควรจะเบื่อหน่าย.... ควรคลานกำหนัด.... ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง


สุริยสูตร ส. อํ. (๖๓)
ตบ. ๒๓ : ๑๐๒-๑๐๕ ตท. ๒๓ : ๙๕-๙๗
ตอ. G.S. IV : ๖๔-๖๘

249

นักวิเคราะห์เผยกรุงเทพฯ ติดอันดับ เสี่ยงพายุเช่นเดียวกับสหรัฐฯ



น้ำท่วม

ดร.เสรี ชี้ สถานการณ์น้ำท่วมปีนี้ ไม่รุนแรง แต่ต้องระวัง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
http://thaiflood.kapook.com/view49994.html
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก foto76 / Shutterstock.com

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ สถิติการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย และแต่ละครั้งก็นำมาซึ่งความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนนับหมื่นนับแสน เช่นล่าสุด พายุเฮอริเคนแซนดี้ก็ได้พัดถล่มหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหายหนัก เมืองทั้งเมืองในหลายรัฐต้องเป็นอัมพาต เพราะน้ำท่วม ถนนหลายสายถูกตัดขาด ซึ่งแม้ว่าประชาชนชาวอเมริกันจะเตรียมรับมือกันเป็นอย่างดี แต่ภัยธรรมชาติไม่เคยปรานีใคร ต่อให้พวกเขาเตรียมรับมือเท่าไร ก็ไม่อาจรับมือได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากเฮอริเคนครั้งนี้เป็นจำนวนไม่น้อย

สำหรับประเทศไทยนั้น แม้จะโชคดีที่ไม่เคยได้เจอกับพายุ หรือภัยพิบัติที่ร้ายแรงเช่นนั้นได้บ่อย ๆ แต่อย่าชะล่าใจไปเชียว เพราะล่าสุด นักวิเคราะห์ได้ออกมาเตือนว่า เมืองใหญ่ ๆ อย่างกรุงเทพมหานครก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับภัยพิบัติเช่นนี้เหมือนกัน แถมยังติดท็อปเท็นเมืองที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในโลก ที่อาจเสียหายหนักจากเหตุการณ์น้ำท่วมและพายุไซโคลนภายใน 50 ปีข้างหน้านี้

สำนักวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมแกรนแฮม ในลอนดอน เปิดเผย 20 อันดับ เมืองใหญ่ที่เสี่ยงเสียหายหนักจากเหตุการณ์น้ำท่วมและภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นภายในปี 2070 และปรากฏว่า กรุงเทพมหานครติดโผอันดับที่ 7 ขณะที่เมืองในเอเชียติดอันดับถึง 15 เมืองด้วย โดยทั้ง 20 อันดับ ได้แก่เมืองดังต่อไปนี้

1. โกลกาตา ประเทศอินเดีย
2. มุมไบ ประเทศอินเดีย
3. ธากา ประเทศอินเดีย
4. กวางโจว ประเทศจีน
5. โฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม
6. เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
7. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
8. ย่างกุ้ง ประเทศพม่า
9. ไมอามี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา
10. ไฮฟอง ประเทศเวียดนาม
11. อะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
12. เทียนจิน ประเทศจีน
13. กุลนา ประเทศบังคลาเทศ
14. หนิงป๋อ ประเทศจีน
15. ลากอส ประเทศไนจีเรีย
16. อาบีจาน ประเทศไอเวอรีโคสต์
17. นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
18. จิตตะกอง ประเทศบังคลาเทศ
19. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
20. จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์เปิดเผยว่า เมืองใหญ่ ๆ ในเอเชียที่ติดอันดับนั้น ไม่เพียงแต่จะเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเสี่ยงต่อการถูกพายุไซโคลนถล่ม ซึ่งอาจสร้างความเสียหายหนักมาก ด้วยปัจจัยที่ว่า ยังมีประชาชนที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนที่มีความแข็งแรงน้อย คุณภาพต่ำ ซึ่งเปราะบางต่อภัยธรรมชาติมาก ดังนั้น หากรัฐบาลในเมืองเหล่านี้ยังไม่มีการรับมืออย่างจริงจัง อาจนำมาซึ่งความเสียหายมหาศาลได้ในอนาคต

บทความที่ได้รับความนิยม