วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มหาภัยพิบัติ 2012 มาจริง เกิดจริง...21-12-2012 ...วันหายนะของมนุษยชาติ

มหาภัยพิบัติ 2012 มาจริง เกิดจริง...21-12-2012 ...วันหายนะของมนุษยชาติ...!!!!!!!

ผู้ที่เปิดเผยและน่าเชื่อถือที่ล้วนกล่าวถึงมหาภัยพิบัติว่าจะเกิดขึ้นแน่นอนที่สุด...
๑.จารึกคำทำนายของพระพุทธเจ้าที่อินเดียกล่าวถึงกาลวิบัติหลังกึ่งพุทธกาลอย่างชัดเจนhttp://www.watkaokrailas.com/index.php?mo=3&art=41902979
๒.หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร
๓.พระอาจารย์รัตน รัตนญาโน วัดดอยเกิ้ง แม่ฮ่องสอน ...แต่วันดังกล่าวพระอาจารย์จะไปอยู่ที่ อ.แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่..
๔.หลวงปู่สังวาลย์เขมโกบอกหลวงพ่อสนองกตปุญโญไว้
๕.หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูลบอก ลพ.ลมัยไว้ที่มา : พระครูจันทธรรมานุโยค (ลมัย จันทโร) เจ้าอาวาสวัดโคกตาเขียว อ.สังขละ จ.สุรินทร์ ได้เล่าให้กับนิตยสารลานโพธิ์
๖.ปู่อินทร์ตาทิพย์ ณ วัดเขาภูตำแย อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา อายุ 109 ปี
๗.หลวงปู่ประเสริฐ
๘.อาจารย์ปฐมมรรค พุทธธรรมจักร เป็นผู้เดียวที่ทำนายเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554ได้อย่างชัดเจนที่สุด( อยู่ในเฟสบุ๊ค)
บุคคลทั่วไป
๑.ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรองค์การนาซ่า
๒.อาจารย์ สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญไฮโดรเจน จากองค์การนาซ่าhttp://mekaje.wordpress.com/2011/03/13/%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-2012-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8
๓.ดร.อาจอง ชุมสายฯ
๔.ดร.สมิทธิ์ ธรรมสโรส
๕.ดรงเทพพนม เมืองแมน ผู้สื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว
๖.นายไมเคิล กอร์ดอน สแกลอน ฝั่งที่เขียนแผนที่โลกใหม่
๗.นักวิทยาศาสต์ต่างประเทศอีกหลายท่าน ที่จะเปิดเผยต่อไป

องค์กร
๑. ชาวมายัน เปิดเผยปฏิทินสิ้นโลก 21-12-2012
๒.มนุษย์ต่างดาว ในรูปแบบของ วงธัญพืช หมื่นกว่าแห่งและจานบิน รวมทั้งสื่สารผ่านมนุษย์มากมาย
๓.พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลกฉบับเชียงดาวที่กล่าวถึงการมหาภัยเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น สองดวง

โหราศาสตร์
๑.อาจารย์ปฐมมรรค พุทธธรรมจักร
๒.หมอดูอีทีชาวพม่า

รายการวิทยาศาสต์และจิตวิญญาน..วิทยากร ..คุณแอนดอฟนักจิตวิญญานชาวมาซิโดเนียพูดไว้ เมื่อปีที่แล้ว

ยินดีต้อนรับท่านผู้ชมที่รู้แจ้งเห็นจริงสู่รายการวิทยาศาสตร์และจิตวิญญานในสัปดาห์มีแขกรับเชิญเป็นนักค้นคว้าทางจิตชาวมาซิโดเนียนคุณแอนดอฟซึ่งเป็นนักมังสวิรัติด้วยมาสื่อสารให้พวกเราได้ฟังซึ่งได้เผชิญกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวและยานต่างดาวมาแล้วซึ่งได้แบ่งปันไปบางแล้วในครั้งที่แล้ว วงจรธัญพืชที่มีมากมายในทุ่งนาได้แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ในตอนนี้คุณแอนดอฟกล่าวว่าวงธัญพืชต่างๆ เป็นการจัดเตรียมอย่างน่าทึ่งของรูปแบบทางเรขาคณิตอันน่าประทับใจที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับหลายคนเชื่อว่าสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้เป็นข้อความจากสิ่งมีชีวิตที่มาจากโลกอื่น ในเรื่องสองตอนชุดนี้คุณแอนดอฟจะอธิบายความหมายการออกแบบ Crop Circleที่หลากหลายและสนทนาการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่นี้ เขาพูดกันว่าโลกของเราและมนุษยชาติจะประสพจุดจบในปี 2012 ...เป็นต้นไป ( ต่อเนื่องไปอีกหลายปี )..คุณแอนดอฟกล่าวว่า อยากจะให้ข้อมูลที่น่าทึ่งถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในปี2012-2013ที่ได้รับจากมนุษย์ต่างดาวที่อยากช่วยเรา ข้อมูลล่าสุดจากนาซ่าซึ่งมีเครื่องบินไอพ่นอวกาศ กล้องส่องอวกาศที่ได้บันทึกภาพตามความเป็นจริงของแกแล็กซี่ทางเชืกเผือกที่มีระยะทาง 25,000 ล้านปีแสงในทุกทิศทุกทางระนาบของแกแล็คซี่ ดังนั้นในวงจรธัญพืชเช่นนี้คุณเห็นแหล่งกำเนิดของพลังงานนั้นกำลังแผ่พุ่งไปที่ขอบและพลังงานตอนนี้รวดเร็วอย่างยิ่ง พลังงานนี้ใหญ่โตและเข้ามาใกล้พวกเราแล้ว เกือบมาถึงแล้ว เป็นเรื่องในแกแล็คซี่ทางช้างเผือก เมื่อพลังงานพวกนี้มาถึง มันจะพุ่งชนดวงอาทิตย์ที่จะเกิดสภาวะดาวยักษ์สีแดง( Red Giant Phase ) คลื่นของพลังงานนี้มีความร้อนสองสามล้านองศาเซลเซียส พลังงานนี้ยังมีแรงดึงดูดคลื่นแม่เหล็กอย่างสูงมาก แต่ดวงอาทิตย์มีความร้อน6,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเมื่อพลังงานนี้วิ่งเข้ามาชนพลาสม่าที่ผิวดวงอาทิตย์แล้ว มันจะเพียงพอที่ดวงอาทิตย์จะขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ที่เรียกว่า เป็น"สภาวะดาวยักษ์สีแดง"( Red Giant Phase ) ซึ่งได้ปรากฏใน crop circles ที่ได้เห็นแล้ว โดยปรกติพระอาทิตย์แผ่ความร้อนโดยการเปลี่ยนไฮโดรเจนที่แกนกลางไปสู่กระบวนการฮีเลี่ยม ที่เป็นการรวมกันของนิวเคลียร์ ลักษณะเฉพาะของดวงอาทิตย์เหมาะมากเพื่อทำให้โลกเกิดความอุดมสมบูรณ์และยั่งยืน ครั้งหนึ่งที่ไฮโดรเจนที่แกนกลางของดวงอาทิตย์หมดสิ้นไป ซึ่งกระบวนการปรกตินั้นใช้เวลา 5,000 ล้านปี แกนกลางจะเริ่มหดตัว...แล้วล่มสลาย ( ดวงอาทิตย์ในภาวะทั่วไปเกิดระเบิดเมื่อหมดอายุแล้ว ใช้เวลา 5,000ล้านปี )และปลดพลังแรงดึงดูดของโลกที่เคยมีอยู่ ก่อให้เกิดการขยายและเปลี่ยนรูปดวงอาทิตย์ไปสู่ ช่วงดาวยักษ์สีแดง...เมื่อจบขบวนการลง...ดวงอาทิตย์จะเล็กลง เย็นขึ้น ที่เรียกกันว่า ดาวแคระขาว " White Dwarf " คุณแอนดอฟได้มุ่งมั่นที่จะวิเคราะห์ Crop Circles ซึ่งภายหลังจากการมาถึงของพลังงานดังกล่าว ลักษณะการปรากฏตัวของ ดาวแคระขาว " White Dwarf " จะเกิดขึ้นภายใน หนึ่งเดือนนี่เป็นภาพใกล้ๆของ Crop Circles ที่กำลังส่งผ่าน"สภาวะดาวยักษ์สีแดง"( Red Giant Phase ) หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของ Crop Circle อันนี้ปรากฏเมื่อ 15 กค. 2008 ที่เอฟบูรี่ แมเนอร์ ในเครือสหราชอาณาจักร อังกฤษ มันเป็นการบรรยายของระบบสุริยะของพวกเรา ดาวเคราะห์ทั้งหมด ด้วยการเบี่ยงเบนเพียงเล็กน้อย ดาวพลูโตไม่อยู่ในที่เดิมแล้ว ในการคำนวณตำแหน่งของดาวเคราะห์ทั้งหมด ของสุริยจักรวาลนั้นตรงกันกับที่ Crop Circle ที่ปรากฏขึ้นที่อังกฤษในเหตุการณ์ที่จะเกิดในวันที่ 23 ธค. 2012 มันมีคำอธิบายอันอื่นอีก อย่างที่ เมื่อ 29 มีค. 2011 ที่มีปรากฏการณ์อันหน้าทึ่งเหนือท้องฟ้า นิวซีแลนด์เมื่อผู้คนกำลังจะวิเคราะห์ดวงดาวเหล่านั้นและ จับคู่กับ 23 ธค. 2012 ส่วนCrop Circleนี้เป็นรูปแมลงปอ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ และนกฟินิกซ์ซึ่งเป๋นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด มันมีอายุยืนยาวและแข็งแรงมากและเมื่อจะหมดอายุขัยมันจะเผารังตัวเองจนตัวไหม้เป็นเถ้าถ่านและจากเถ้าถ่านนั้นมันจะกำเนิดขึ้นมาใหม่....นี่เป็นสัญญลักษณ์ว่า พระอาทิตย์กำลังจะดับสูญและเกิดขึ้นใหม่...อีกครั้งเหมือน "สภาวะดาวยักษ์สีแดง"( Red Giant Phase ) ที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์!!!!!...อะไรจะเกิดขึ้นกับโลกเมื่อมาถึงจุดนี้...คุณแอนดอฟกล่าวว่า โลกเราจะขยายอย่างช้าๆโดยเริ่ม 23 ธค. 2012 และถึงจุดสูงสุดในวันที่ 28 มีค. 2013 พระอาทิตย์จะกลืนกินดาว พุธและ ดาวศุกร์อย่างสิ้นเชิง...!!! ส่วนโลกและดาวพระอังคารจะอยู่ใกล้ชิดดวงอาทิตย์อย่างน่ากลัวอันตราย...การส่งผ่านพลังงานดังกล่าวจากศูนย์กลางแกแล็คซี่มาสู่ดวงอาทิตย์นั้น จะกระทบทั้งสุริยจักรวาลด้วย พลังงานนี้จะแผ่กระจายไปสู่ดาวเคราะห์ทุกดวงในสุริยจักรวาล จะทำลายชั้นบรรยากาศเพราะเมื่อพลังงานสองสามล้านองศาฯกระทบบรรยากาศโลกที่ 1,500 องศาเซสเซียส ...บรรยากาศของโลกเราก็จะโดนทำลายโดยย่อยยับ...!!!ดวงอาทิตย์เรามีดาวคู่แฝดที่อยู่ขอบของสุริยจักรวาล เมือ่ดวงอาทิตย์กลายเป็น ดาวแคระขาว " White Dwarf " แล้ว ดาวสองดวงเหล่านี้...เป็นความจริงที่ว่าเรามีดวงดาวคู่แฝดโคจรรอบๆดาวของเราด้วย (...ดาวนิบิรุ..อจ.มรกตฯ ) และดาวนี้จะโดนพลังงานดังกล่าวพุ่งเข้าชนด้วย ซึ่งกลายเป็น ดาวแคระขาว " White Dwarf " ไปด้วย และ ดาวแคระขาว " White Dwarf " สองดวงนี้จะดึงดูดกันและโคจรรอบๆกันและจะชนกันอย่างรุนแรงซึ่งเมื่อชนกันแล้ว จะได้ดาวดวงใหม่ที่ใหญ่กว่าและสามารถผลิตแสงสว่างและความร้อนให้โลกเราได้ใช้ แม้ว่าจะสว่างและร้อนน้อยกว่าปัจจุบันที่มีอยู่...ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับโลกมนุษย์ในการอยู่อาศัย...!!!คุณแอนดอฟเชื่อว่า พลังงานดังกล่าวที่พุ่งมายังโลก อาจไม่เกิดอันตรายรุนแรงต่อเรา หากเราช่วยกัน นั่งสมาธิร่วมกันเป็นล้านๆคน และเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต..มากินมังสวิรัติแทน...มนุษย์ก็อาจอยู่รอดได้มากขึ้น...
สรุปคำอธบายของคุณแอนดอฟ
๑.พลังงานขนาดมหึมาได้พุ่งมาจากแกนกลางแกแล็คซี่( แอนโดรเมด้า) มีความร้อน 2-3 ล้านองศาเซลเซียส จะเข้าปะทะสุริยจักรวาลในวันที่ 23 ธค. 2012 และดาวนิบิรุพร้อมทั้ง ดวงดาวทุกดวงในสุริยจักรวาล
๒.ดวงอาทิตย์จะเกิดการเคลื่อนที่ได้เองโคจรไปสู่...แกแล็คซี่แอนโดรเมด้า
๓. ดวงอาทิตย์จะระเบิดอย่างรุนแรงและกลายเป็น ดาวแคระขาว " White Dwarf " พร้อมทั้ง ดาวนิบิรุ ที่เป็น ดาวแคระขาว " White Dwarf " เช่นเดียวกัน
๔.ดวงอาทิตย์และนิบิรุจะโคจรรอบกันและกันเพราะแรงดึงดูดมหาศาล กระทั่งชนกันเองกลายเป็นดาวดวงใหญ่ที่ผลิตแสงสว่างได้อีกครั้ง...แม้ว่าไม่เท่าเดิมที่เคยได้
๕. ดาวพุธและดาวศุกร์จะหายไป...โดยสิ้นเชิง
๖. โลกเราและดาวอังคารยังคงอยู่ด้วย...วงโคจรที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นและย้ายไปอยู่แกแล็คซี่แอนโดรเมด้า (เดิมอยู่ที่แกแล็คซี่ทางช้างเผืก)
๗.ชั้นบรรยากาศทั้งหมดของโลกเราโดนพลังงานดังกล่าว ทำลายลงทั้งหมด
๘.โลกจะหยุดหมุนและเอียง 90 องศาเกิดขั้วโลกใหม่ที่สฟิงซ์

สิ่งที่จะเกิดตามมาของมนุษยชาติ
๑.มนุษยชาติจะเผชิญ ความร้อน - คลื่นแม่เหล็ก-ดาวขนาดใหญ่ ...ที่ตกลงมาบนโลกอย่างมากมาย...ทำให้เกิด แผ่นดินไหว อย่างรุนแรงที่สุด สึนามิมหึมา ภูเขาไประเบิด ทั้งจากคลื่นความร้อนคลื่อนแม่เหล็กที่เข้ามา และจากการที่โลกหยุดหมุน และเอียง 90 องศา น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายหมด น้ำมหาสมุทรจะถาโถมเข้าสู่พื้นดินทั้งโลก
๒.ทำให้แกนโลกพลิกกลับ 90 องศา ขั้วโลกเหนืออยู่มี่สฟิงค์ ไทยเราอยู่ในเขตหนาวขี้น และอยู่ทางขั้วโลกใต้
๓.มนุษยชาติจะได้เห็นการระเบิดของดาวพุธ ดาวศุกร์ การระเบิดของดวงอาทิตย์ การระเบิดของ นิบิรุ การชนกันของอาทิตย์และนิบีรุ ซึ่งทำให้เกิด แสงส่วาง เสียง และคลื่นแม่เหล็กกระจายออกมาอย่างมากมายมหาศาล
๔.โลกจะตกอยู่ในความมืดระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจากคำอธิบายนี้ จากที่ดวงอาทิตย์กลายเป็น ดาวแคระขาว " White Dwarf " แล้ว ก็หมดแสงสว่างไปโดยสิ้นเชิง และจะเกิดดาวดวงใหม่ที่มีแสงส่วางขึ้น ใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๑ เดือน หรือมากกว่า ...!!!
๕.จะเกิดไฟไหม้บ้านเมืองและป่าไม้อย่างมหาศาล ถนนราดยางมะตอยอย่างในประเทศไทยจะละลายทั้งหมด ผู้คนต้องทิ้งรถยนตร์เพราะไม่มีถนนให้ไป
๖.จะเกิดโรคร้ายต่างๆ โรคระบาด จากซากศพ มนุษย์และสัตว์ที่ตายหลายพันล้าน กลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่ว รวมทั้งโรคมะเร็งที่ผิวหนังที่เกิดจากคลื่นความร้อน
๗.เกิดการเปลี่ยนแปลงของ DNA ทั้งคนสัตว์พืช กลายพันธ์ไปหมด
๘.มนุษย์ที่อดอยากไม่มีอาหารและที่อยู่จะออกปล้นสะดมภ์ ไปทั่ว
๙.จะเกิดน้ำท่วมโลกอย่างมโหฬาร ที่อาจสูงถึง ๑ กิโลเมตร และค่อยๆลดลงมา เมืองเกาะส่วนใหญ่จะหายไปเกือบหมด ชายฝั่งทะเลจะโดนทำลายจนสิ้นซาก

คำอธิบายของคุณแอนดอฟข้างบนนี้ ใกล้เคียงกับคำพูดของดร.ก้องภพ ที่พยายามบอกว่า มีพลังงานบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาที่โลกเรา...และจะเกิดแสงสว่าง เสียง ความร้อน อย่างรุนแรงที่สุดที่มนุษยชาติทุกคนไม่เคยได้ยินมาก่อน...นอกจากนี้ยังตรงกับ คำพูดของท่านพระอาจารย์ รัตน์ รตนญาโณ ที่กล่าว ถึงแสงส่างและเสียงดังกล่าว โดยรับทราบได้ทางฌานสมาธิแต่ตรงกับของดร.ก้องภพ วิศวกรนาซ่า ที่รู้จากข้อมูลวงในของนาซ่า ( แต่พูดมากไม่ได้ )- ส่วนการอธิบายของพระอริยสงฆ์อื่นอีกหลายองคืก็น่าเชื่อถือและเป็นไปในทำนองเดียวกันทั้งหมด ส่วนข้อมูลอื่นๆที่มีในอินเตอร์เน็ต เรา ( อจ.มรกตฯ) ไม่ได้เชื่อถือทั้งหมด หรือเชื่อได้เป็นบางส่วนเท่านั้น...นอกจากสองท่านดังกล่าวนามมาแล้วและพระสงฆ์บางองค์เท่านั้น

คุณเตรียมตัวกันบ้างหรือยัง ??????? รีบๆหน่อยนะ ก่อน ที่ทางราชการจะประกาศอันตรายและทุกสิ่งทุกอย่างจะลำบากวุ่นวายไปทั้งโลก...

ที่มา
http://www.facebook.com/Prof.Morakot

สัญญานจากมนุษย์ต่างดาวถึงวันโลกาวินาศน์ 21-12-2012

สัญญานจากมนุษย์ต่างดาวถึงวันโลกาวินาศน์ 21-12-2012


ยูเอฟโอได้ปรากฏทุกที่ทั่วโลกในเดือนตุลาคม 2012-นี่คือ คำเตือนถึงมหันตภัยร้ายแรงจากดาวนิบิรุหรือไม่ ? เหลืออีก ุ67 วัน จะถึงวันโลกาวินาศน์ 21 ธันวาคม 2012 แล้ว ...
!!!

การปรากฏของยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวหรือที่เรียกว่า UFO อย่างมากมาย ถูกรายงานไปทั่วโลกในเดือนตุลาคมของปี 2012! นี้เป็นเวลาที่น่าตื่นเต้นที่จะมีชีวิตถึงแม้ว่ามันจะน่ากลัวเช่นกัน เรารู้ว่าเราอาจจะมีชีวิตอยู่ในเวลาสิ้นสุด แต่ยังจะนำโอกาสที่น่าตื่นเต้นที่จะได้เห็นจุดจบของโลกอย่างชัดเจนด้วยตาของเรา! ตอนนี้ฉันเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกเราทั้งหมดจะสูญหายไป !

อย่างไรก็ตามคุณควรพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะทำลายตนเองและมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การทำลายล้างของเราเองเร็วพอ อย่างไรก็ตามการตรวจสอบการปรากฏของ UFO เหล่านี้จากเอธิโอเปีย, มิชิแกน, ฟลอริด้าและลาสเวกัส เอาล่ะฉันตระหนักดีว่ากลุ่มนี้ไม่ได้มาจาก "ทั่วโลก" แต่เหล่านี้คือบางส่วนของปรากฏการณ์ที่ชัดเจนที่สุดใน ตุลาคม 2012 เพราะความชัดเจนของพวกเขา พวกเขาอาจจะที่นี่เพื่อเตือนให้เราเห็นถึงมหันตภัยร้ายแรงจาก Nibiru? พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อบุกทำลายล้างแผ่นดินโลกหรือ ? หรือพวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อหลอกลวงเราให้เชื่อว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ต่างด้าวในเมื่อความจริงพวกเขาเป็นปีศาจ? เหล่านี้เป็นทฤษฎีทั้งหมดที่มีความโดดเด่นในวิชาการในด้านยูเอฟโอ ในกรณีใด ๆก็ตาม ก็จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งที่มาต่อไป.

การปรากฏของจานบินมนุษย์ต่างดาวในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมมีจำนวนมากมายในหลายประเทศทั่วโลก ทั้ง แคนาดา สหรัฐอเมริกา ในรัฐต่างๆ ฟลอริด้า มิชิแกน นิวเจอร์ซี่ย์ สเปญ ฝรั่งเศส สวีเดน (Göteborg) โปรตุเกศ บราซิล ออสเตรเลีย ไห่หนาน จีน Sävedalen สวีเดน รัสเซีย ตะวันออกกลาง อัฟริกา Delsjon และสถานที่อื่นอีกมาก ที่บันทึกไม่ได้...ซึ่งการปรากฏของจานบินอวกาศนี้ลักษณะมีความต้องการที่จะโชว์ให้มนุษย์โลกได้เห็น ทั่วโลก เพื่อแสดงการสื่อสารถึงบางสิ่งบางอย่าง ที่จะเกิดขึ้น

...มันคือโลกาวินาศน์ 21-12-2012 หรือไม่...?
 
ที่มา
http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-2012/118397021527281

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันสิ้นโลกอาจไม่ใช่ 2012

หลายคนที่ยังติดภาพหายนะจากภาพยนตร์ 2012 อาจใจชื้นขึ้นมาได้ เมื่อปฏิทินมายาที่เชื่อว่าทำนายวันสิ้นโลกนั้น อาจไม่สิ้นสุดในวันที่ 21 ธ.ค.2012 ก็ได้ แต่ข่าวร้ายสำหรับผู้เชื่อเพราะถ้าเรื่องวันสิ้นโลกไม่ตรงกับวันดังกล่าวจริง ก็ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วตรงกับวันไหน หรืออาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้
ไลฟ์ไซน์ยกข้อถกเถียงดังกล่าวจากตำราเล่มใหม่ “ปฏิทินและปี เล่ม 2: ดาราศาสตร์และเวลาในโลกโบราณและโลกยุคกลาง” (Calendars and Years II: Astronomy and Time in the Ancient and Medieval World) ของสำนักพิมพ์ออกซ์โบว์บุคส์ (Oxbow Books) ซึ่งระบุว่า ปฏิทินมายาแปลงเทียบกับปฏิทินปัจจุบันไม่ได้มานานถึง 50-100 ปีแล้ว

ข้อถกเถียงล่าสุดโยนคำพยากรณ์และคำโฆษณาเกินจริงเกี่ยวกับความเชื่อปี 2012 ทิ้งไปนานหลายทศวรรษ และยังชวนให้สงสัยต่อวันเวลาของเหตุการณ์ชาวมายาในอดีต ทั้งนี้ ความตื่นกลัวต่อหายนะนั้น อยู่บนฐานข้อมูลว่าปฏิทินรอบยาว (Long Count) ของชาวมายันจะสิ้นสุดในปี 2012 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายเหมือนวันที่ 31 ธ.ค.ตามปฏิทินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

ปฏิทินมายาถูกแปลงเป็นปฏิทินแบบเกรกอเรียน (Gregorian) ที่ใช้กันอยุ่ทุกวันนี้ โดยใช้ตัวคำนวณที่เรียกว่า “ค่าคงที่จีเอ็มที” (GMT constant) ซึ่งตั้งขึ้นตามอักษรต้นของชื่อนักวิจัยเรื่องชาวมายา ตามข้อมูลในบทที่เขียนขึ้นโดย เจราร์โด อัลดานา (Gerardo Aldana) ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาชาวชิคานาและชิคาโน (ชาวเม็กซิกันในสหรัฐฯ) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานตาบาร์บารา (University of California, Santa Barbara) นั้นระบุว่า การแปลงปฏิทินนั้นให้ความสำคัญกับวันที่รื้อขึ้นมาจากเอกสารอาณานิคมที่เขียนภาษามายาด้วยอักษรละติน

ในภายหลังค่าคงที่จีเอ็มทีนั้น ได้รับการสนับสนุนโดย ฟลอยด์ เลาน์เบอรี (Floyd Lounsbury) นักภาษาศาสตร์และนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งใช้ต่างบันทึกโบราณเดรสเดนโคเด็กซ์วีนัส (Dresden Codex Venus Table) ซึ่งเป็นปฏิทินและหนังสือบันทึกข้อมูลสถิติของชาวมายา ที่ตารางวันซึ่งสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่ของดาวศุกร์

อัลดานากล่าวว่างานของเลาน์เบอรีนั้นเขี่ยอุปสรรคบางอย่างออกไปเพื่อให้ยอมรับค่าคงที่จีเอ็มทีได้อย่างเต็มที่ และพิสูจน์ค่าคงที่ดังกล่าวถูกต้อง แต่เขากล่าวว่าลานของเลาน์เบอรีนั้นยังห่างไกลจากผลงานที่โต้แย้งไม่ได้ หากตารางบันทึกดาวศุกร์นั้นใช้พิสูจน์ค่าคงที่เอฟเอ็มที (FMT) อย่างที่เลาน์เบอรีระบุ การยอมรับค่าคงที่ดังกล่าวได้ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่แน่ชัด

อัลดานากล่าวว่าข้อมูลประวัติศาสตร์นั้นมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าตารางเอง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้มีการถกเถียงเพื่อล้มความน่าเชื่อถือของค่าคงที่จีเอ็มที แต่เขาเองก็ไม่มีคำตอบว่าปฏิทินที่ถูกต้องหลังการแปลงแล้วนั้นควรจะเป็นอย่างไร แต่ให้ความสำคัญในการอธิบายว่าการตีความในปัจจุบันนี้อาจจะผิดก็ได้ และดูเหมือนว่านักทฤษฎีเกี่ยวกับวันสิ้นโลกจำเป็นต้องหาปฏิทินโบราณอื่นเพื่อตอกย้ำความหวังเชิงพยากรณ์ของพวกเขา

ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000148195

ถอดมุมมองผู้พบ “พัลซาร์” จริงหรือโลกดับ 2012 ?

ความเชื่อเรื่องโลกพบจุดจบในปี 2012 แพร่ระบาดในอินเทอร์เน็ต

จริงหรือโลกดับในปี 2012? จากมุมมอง “โจเซลิน เบล เบอร์เนล” นักดาราศาสตร์หญิงจากอังกฤษผู้พบ “พัลซาร์” ยกปรากฏการณ์บนท้องฟ้ามาวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล ตั้งแต่ดวงอาทิตย์กลับขั้วแม่เหล็ก พายุสุริยะ สนามแม่เหล็กโลกกลับทิศทาง การเรียงตัวของดาวเคราะห์ ความเชื่อเรื่องดาวนิบิรุและดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก รวมถึงโลกถูกดูดเข้าสู่หลุ่มดำใจกลางกาแลกซี

ศาสตราจารย์ท่านผู้หญิงโจเซลิน เบล เบอร์เนล (Dame Jocelyn Bell Burnell) คือ นักดาราศาสตร์วิทยุจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) สหราชอาณาจักร ผู้พบสัญญาณ “พัลซาร์” (Pulsar) หรือ “ดาวนิวตรอน” ที่แผ่คลื่นวิทยุออกมาเป็นห้วงตามอัตราการที่ดาวหมุนรอบตัวเอง คล้ายๆ กับการส่องแสงของประภาคารเมื่อปี ค.ศ.1967 ขณะทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge)

ศาสตราจารย์เบอร์เนลได้ใช้เสารับสัญญาณวิทยุศึกษาปรากฏการณ์ดาราศาสตร์และได้พบสัญญาณพัลซาร์ ซึ่งเบื้องต้นเธอเข้าใจว่าเครื่องมือขัดข้อง แต่เมื่อพบสัญญาณเดียวกันจากอีกแหล่งกำเนิดทำให้เธอแน่ใจว่าเครื่องมือไม่ได้มีปัญหา และการค้นพบครั้งนั้นยังทำให้ ศ.แอนโทนี ฮิวอิช (Prof.Antony Hewish) อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอในขณะนั้น และ ศ.มาร์ติน ไรล์ (Prof.Martin Ryle) ได้รับรางวัลโนเบล

ปัจจุบัน ศ.เบอร์เนลล์ไม่ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับพัลซาร์แล้ว แต่ยังคงติดตามการศึกษาเรื่องนี้อยู่ และนอกจากเป็นนักดาราศาสตร์แล้ว เธอยังเดินสายบรรยายพิเศษเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านดาราศาสตร์ไปทั่วโลกปีละ 30-40 ครั้ง หากแต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเธอได้รับคำถามถี่ๆ ว่า “จริงหรือไม่? โลกจะถึงกาลอวสานในปี 2012” จึงเป็นแรงผลักให้เธอตัดสินใจเผยแพร่ข้อมูลที่จะช่วยระงับความตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์วันสิ้นโลก ซึ่งมีแรงกระตุ้นมาจากภาพยนต์ดัง

ล่าสุดเธอได้เดินทางมาบรรยายในมุมมองดาราศาสตร์ต่อกระแสตื่นกลัววันสิ้นโลกในปี 2012 ภายในการประชุมวิชาการสหพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 11 (APRIM2011) ซึ่งจักขึ้นเมื่อปลายเดือน ก.ค.54 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ และทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ได้ร่วมฟังการบรรยายดังกล่าวด้วย

กระแสวันสิ้นโลกในปีหน้านั้นเริ่มจากการนำเสนอว่าปฏิทินรอบยาว (Long Count) ของชาวมายาจะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 ธ.ค.2012 ซึ่งมีหลายปรากฏการณ์ที่ถูกดึงมาสนับสนุนวาระสุดท้ายของโลก ทั้งปรากฏการณ์แผ่นดินไหว พายุ ภูเขาไฟระเบิด แต่ในฐานะนักดาราศาสตร์ ศ.เบอร์เนลล์ ได้ยกประเด็นด้านดาราศาสตร์ที่หลายคนเชื่อว่าจะเป็นสาเหตุของหายนะทำลายล้างโลก

ดวงอาทิตย์ส่งผลทำลายล้างโลก (จริงหรือ?)
มีความกังวลว่าการกลับขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะทำให้เกิดพายุสุริยะที่รุนแรง แต่ข้อเท็จจริงคือดวงอาทิตย์มีการกลับขั้วแม่เหล็กทุกๆ 11 ปี โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2021 ไม่ใช่ปี 2012 นอกจากนี้เรายังไม่พบว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวมีผลกระทบรุนแรงต่อมนุษย์ ส่วน “จุดมืด” (Sunspot) ที่กังวลว่าจะส่งผลต่อการเกิดพายุรุนแรงนั้น จากข้อมูลที่มีการศึกษาวัฏจักรดวงอาทิตย์พบว่า ในบางวัฏจักรที่มีจุดมืดเยอะนั้นไม่ได้เกิดพายุสุริยะมากตามไปด้วย

จุดมืดนี้มาและไปทุกๆ 11 ปี ที่บริเวณดังกล่าวจะเย็นกว่าบริเวณอื่นบนดวงอาทิตย์เล็กน้อย และเมื่อเทียบขนาดกับโลกจุดดังกล่าวมีขนาดใหญ่กว่า คุณอาจคาดไว้ว่าเมื่อมีจุดมืดมากก็จะมีพายุสุริยะมากด้วย แต่จริงๆ แล้วทั้งสองปรากฏการณ์ไม่ได้สัมพันธ์กัน สำหรับปริมาณจุดมืดมากสุดบนดวงอาทิตย์จะเกิดขึ้นราวปลายปี 2013 ไม่ใช่ปี 2012 คาดว่ามีพายุสุริยะน้อยกว่าที่ผ่านมา และผลกระทบอาจทำให้มือถือและดาวเทียมทำงานได้ไม่เต็มที่นัก เมื่อถึงวันนั้นจำไว้ว่าคุณต้องหาวิธีเดินทางได้โดยไม่พึ่งจีพีเอส” ศ.เบอร์เนลล์กล่าว

สนามแม่เหล็กกลับทิศโลกปั่นป่วน?
“สนามแม่เหล็กโลกกลับทิศอยู่ตลอดเวลาโดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 750,000 ปีก่อน ขณะที่มนุษย์ที่เริ่มรู้จักใช้เครื่องมือเกิดขึ้นบนโลกเมื่อ 2.5 ล้านปีก่อน จากเวลาดังกล่าวมาถึงทุกวันนี้มีการกลับทิศสนามแม่เหล็กแล้ว 11 ครั้ง และเราก็ยังคงอยู่ ไม่ปรากฏว่ามีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ และคล้ายว่าเมื่อสนามแม่เหล็กโลกกลับทิศจะพบว่าสนามแม่เหล็กอ่อนเล็กน้อยก่อนการกลับทิศ” นักดาราศาสตร์หญิงจากออกซ์ฟอร์ดกล่าว

ทั้งนี้ การกลับทิศของสนามแหล็กใช้เวลาถึง 5,000 ปีจึงแล้วเสร็จ โดยเริ่มจากสนามแม่เหล็กอ่อนลงอย่างช้าๆ และปัจจุบันสนามแม่เหล็กกำลังอ่อนลงปีละ 5% ซึ่งอาจถึงเรากำลังเข้าสู่ช่วงการกลับทิศสนามแม่เหล็กใหม่ แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนทิศทางการหมุนของโลก

หายนะจากดาวเคราะห์-ดาวนิบิรุ?
ในปี 2012 ไม่มีการเรียงตัวของดาวเคราะห์แต่อย่างใด และแม้จะมีการเรียงตัวของดาวเคราะห์ก็ไม่ส่งผลกระทบทั้งต่อแรงดึงดูดหรือแรงน้ำขึ้นน้ำลงบนโลก หากทำแผนภูมิวงกลมแสดงอิทธิพลของดึงดูดที่กระทำต่อโลกจะพบว่าดวงอาทิตย์มีอิทธิพลมากที่สุด และดวงจันทร์มีผลกระทบรองลงมา ส่วนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ส่งผลกระทบน้อยมากจนไม่มองเห็นผลที่แสดงบนแผนภูมิ ส่วนแรงน้ำขึ้นน้ำลงนั้นดวงจันทร์ส่งอิทธิพลมากสุดตามมาด้วยดวงอาทิตย์

ในอดีตเคยมีการเรียงตัวของดาวเคราะห์ 5 ดวง คือเมื่อเดือน ก.พ.1962 และ เดือน พ.ค.2000 พร้อมกันนี้ ศ.เบอร์เนลล์ยังยกตัวอย่างการเรียงตัวของดาวเคราะห์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2008 ซึ่งปรากฏดวงจันทร์ ดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดีเรียงกันบนฟ้า กลายเป็นภาพ “พระจันทร์ยิ้ม” ที่หลายคนประทับใจ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ดาวนิบิรุ” (Nibiru) ที่เล่ากันว่าชาวสุเมเรียนสังเกตพบดาวเคราะห์ดังกล่าวเมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล และพบว่าคาบโคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้คือ 3,600 ปี โดยมีวงโคจรที่เป็นวงรีค่อนข้างมาก ซึ่งดาวเคราะห์ดวงนี้จะชนโลกในวันที่ 21 ธ.ค.2012

ทั้งนี้ ชาวสุเมเรียนเห็นดาวนิบิรุด้วยตาเปล่าจากการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ เพราะยุคนั้นยังไม่มีอุปกรณ์ช่วยในการศึกษาวัตถุบนท้องฟ้า แต่ดาวเคราะห์ดวงนี้มีระยะไกลกว่าดาวพลูโต 10 เท่า ในขณะที่เราไม่สามารถมองเห็นดาวพลูโตได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ชาวสุเมเรียนจะมองเห็นดาวดวงนี้

อีกทั้งเรื่องเล่ายังบอกอีกว่าดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ห่างออกไป 400 หน่วยดาราศาสตร์ ซึ่งระยะ 1 หน่วยดาราศาสตร์คือระยะระหว่างโลกถึงดวงอาทิตย์หรือ 150 ล้านกิโลเมตร หากเรามองดาวเคราะห์ที่ระยะดังกล่าวด้วยแสงสะท้อน จะต้องมีดวงอาทิตย์มากถึง 150 ดวง

“ดังนั้น มันไม่ใช่ดาวเคราะห์ แล้วเป็นดาวแคระน้ำตาล (Brown Dwarf) ได้ไหม? ถ้าเรามองเห็นดาวดวงนั้นที่ระยะ 400 หน่วยดาราศาสตร์ได้ แสดงว่ามันต้องเป็นดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์ที่สว่างมากๆ และคนบอกว่าตอนนี้ดาวนิบิรุอยู่ห่างออกไป 7 หน่วยดาราศาสตร์ ซึ่งหากเราเคยเห็นมันที่ระยะไกลกว่านี้ ตอนนี้ดาวนิบิรุต้องสว่างมากพอๆ กับดวงจันทร์และมองเห็นได้ตาเปล่าในตอนกลางวัน แต่ไม่มีใครเห็น ดังนั้น มันไม่มีจริง เป็นแค่เรื่องแต่ง” ศ.เบอร์เนลล์สรุปว่าความเชื่อดังกล่าวไม่เป็นจริง

สูญพันธุ์เมื่อ “ดาวเคราะห์น้อย” พุ่งชนโลก?
อุกกาบาตผ่านสู่ชั้นบรรยากาศโลกทุกวัน บางครั้งทำให้เกิดดาวตกลูกไฟ (fireball) บางครั้งทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่และเมื่อ 65 ล้านปีก่อนดาวเคราะห์น้อยขนาด 100 กิโลเมตร พุ่งชนโลกซึ่งทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตชิกซูลูบ (Chicxulub) ในเม็กซิโก และเชื่อว่าเป็นสาเหตุให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ จึงมีโครงการเฝ้าระวังทางอวกาศเพื่อเฝ้าระวังดาวเคราะห์น้อยที่เคลื่อนมาเข้าใกล้โลก

ศ.เบอร์เนลล์กล่าวว่า ปัจจุบันมีการเฝ้าจับตาวัตถุขนาดใหญ่กว่า 200 เมตรประมาณ 1,000 วัตถุที่เคลื่อนมาเข้าใกล้โลกในระยะ 20 เท่าของระยะทางระหว่างโลกและดวงจันทร์ ซึ่งหากจะมีอะไรพุ่งชนโลกในเดือน ธ.ค.2012 ตอนนี้เราต้องทราบข้อมูลนั้นแล้ว แต่เรายังไม่พบว่าจะมีการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อย และหากทราบว่ามีเราจะเตรียมรับมือด้วยการหาทางเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์น้อยเหล่านั้น แต่ไม่ใช่การระเบิดทิ้งเพราะจะทำให้เกิดวัตถุอีกหลายพันชิ้นให้เฝ้าจับตาดู

ฤๅโลกจะถูก “หลุมดำ” กลืนกิน?
ในกาแลกซีทางช้างเผือก (Milky Way) ของเรานั้นมี “หลุมดำ” อยู่ใจกลางเหมือนกาแลกซีอื่นๆ ในเอกภพ แต่เรามองไม่เห็นรูปร่างของมัน ทั้งนี้ หลุมดำใจกลางกาแลกซีของเรานั้นอยู่ไกลออกไป 26,000 ปีแสง นั่นหมายความว่าหากโลกเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าแสงยังต้องใช้เวลาถึง 26,000 ปีจึงจะไปถึงหลุมดำ ซึ่ง ศ.เบอร์เนลล์กล่าวอย่างมั่นใจว่าเราจะไม่ถูกดูดเข้าไปในหลุมดำอย่างแน่นอน

สำหรับจุดจบของโลกในมุมมองนักดาราศาสตร์ผู้พบพัลซาร์คือการที่เราไม่สามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้ และท้ายที่สุดแล้วโลกก็จะพบจุดจบไปก่อนวาระสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่เป็นไปตามวัฏจักเกิด-ดับของดวงดาวในอีก 5 พันล้านปี นอกจากนี้ในอีก 3 พันล้านปีกาแลกซีของเราจะชนกับกาแลกซีแอนโดรมีดา (Andromeda) ซึ่งเราคงมีโอกาสรอดหากเราหาที่อยู่ใหม่ได้

ที่มา
http://www.manager.co.th/science/viewnews.aspx?NewsID=9540000094912

จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างตามที่ได้มีพยากรณ์ไว้เกี่ยวกับยุคสุดท้าย?

พระคัมภีร์มีอะไรมากมายที่จะพูดเกี่ยวกับยุคสุดท้าย หนังสือเกือบทุกฉบับในพระคัมภีร์จะพูดถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับยุคสุดท้าย การรวบรวมเอาคำพยากรณ์ทั้งหมดมาพูดอาจเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้จึงเป็นการสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าจะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย:

พระคริสต์จะทรงรับผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ทุกคนผู้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร (ธรรมิกชนในพันธสัญญาใหม่) ออกไปจากโลกโดยเหตุการณ์ที่เรียกว่าการรับขึ้น (1 เธสะโลนิกา 4:13-18; 1 โครินธ์ 15:51ff) ผู้เชื่อเหล่านี้จะได้รับค่าตอบแทนสำหรับการงานดีและการรับใช้ที่แต่ละคนได้กระทำในระหว่างที่อยู่บนโลก หรือจะสูญเสียค่าตอบแทน, แต่ไม่สูญเสียชีวิตนิรันดร์, เพราะขาดการรับใช้และไร้การเชื่อฟัง (1 โครินธ์ 3:11-15; 2 โครินธ์ 5:10)

ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ (สัตว์ร้าย) จะมีอำนาจและจะเซ็นสัญญาสันติภาพ (พันธสัญญา) กับคนอิสราเอลอยู่เจ็ดปี ช่วงเวลาเจ็ดปีนั้นถูกเรียกว่ายุคแห่งความทุกข์เวทนา ในระหว่างนั้นจะมีสงครามที่ร้ายแรง, การกันดารอาหาร, โรคระบาด และภัยพิบัติตามธรรมชาติ เกิดขึ้น พระเจ้าจะทรงเทพระพิโรธลงมาเหนือความบาป, ความชั่วร้าย และความเลวทรามทั้งหลาย ยุคแห่งความทุกข์เวทนาจะประกอบด้วยผู้ขี่ม้าสี่คนที่จะมาทำสงครามล้างโลก ตราประทับเจ็ดดวง แตร และขันแห่งคำพิพากษา

เมื่อไปถึงประมาณครึ่งหนึ่งของ 7 ปี, ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะทำลายสัญญาสันติภาพที่มีต่อชนชาติอิสราเอลและทำสงครามกับพวกเขา ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะทำสิ่งที่น่ารังเกียจที่แสนจะเศร้าสลด และสร้างรูปจำลองของตัวเองขึ้นมาให้เป็นที่กราบไหว้บูชาในพระวิหาร (ดาเนียล 9:27; 2 เธสะโลนิกา 2:3-10) ช่วงที่สองของยุคแห่งความทุกข์เวทนาเรียกว่ายุคแห่งความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ และยุคแห่งความยุ่งยากของยาโคบ

ในตอนจบของช่วงเวลาเจ็ดปีแห่งความทุกข์เวทนา ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะเริ่มโจมตีกรุงเยรูซาเล็มเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งจบลงที่สงครามอามาเก็ดดอน พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา, ทรงทำลายผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์และกองทัพของมัน และส่งมันไปยังบึงไฟนรก (วิวรณ์ 19:11-21) ต่อจากนั้นพระคริสต์จะทรงตรึงซาตานไว้ในห้วงเหวที่ไม่มีก้นเหวเป็นเวลา 1000 ปี และในช่วง 1000 ปีนี้ พระองค์จะทรงครอบครองแผ่นดินโลกของพระองค์ (วิวรณ์20:1-6)

เมื่อครบ 1000 ปี ซาตานก็จะถูกปล่อยออกมา, แล้วมันก็จะล่อลวงอีก แล้วก็จะถูกส่งไปยังบึงไฟนรกอีก (วิวรณ์ 20:7-10) ต่อจากนั้นพระคริสต์จะทรงประทับที่พระที่นั่งพิพากษาสีขาวพิพากษาผู้ไม่เชื่อทุกคน (วิวรณ์ 20:10-15) แล้วทุกคนก็จะถูกส่งไปยังบึงไฟนรก ต่อจากนั้นพระองค์จะทรงนำสวรรค์ใหม่และโลกใหม่เข้ามา – ที่พำนักชั่วนิรันดร์ของผู้เชื่อ แล้วจะไม่มีความบาป, ความโศกเศร้า หรือความตายอีกต่อไป และกรุงเยรูซาเล็มใหม่ก็จะลอยลงมาจากสวรรค์ (วิวรณ์บทที่ 21-22)

คัดลอกจาก http://www.elhijodedios.com/Thai/Thai-end-times-prophecy.html

10 คำทำนายสะท้านโลก

"โลกนี้จะมีวันอวสานไหม?" "โลกนี้จะแตกไหม?" "สงครามนิวเคลียร์ล้างโลกจะเกิดขึ้นไหม?" คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่พวกเรามักได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอ
พระคัมภีร์คริสเตียนได้บอกอย่างชัดเจน?ว่า "โลกนี้จะมีวันหนึ่งที่จะอวสาน" และการอวสาน(สิ้นสุดของโลก)ก็เกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์ด้วย
ทำไมการสิ้นสุดของโลกจึงเกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์?
พระเยซูคริสต์ตรัสอย่างชัดเจนว่า "การเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์ มาเพื่อกำจัดบาป (รับแบกบาปแทนมนุษย์) โดยการตายไถ่บาปบนไม้กางเขน"
หลังจากที่พระองค์ตายแล้ว 3 วัน พระองค์ก็ทรงฟื้นจากความตาย และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นนั้นพระองค์ได้ตรัสอีกว่า "ในไม่ช้าเราจะกลับมาอีก มาเพื่อรับคนที่สำนึกว่าตนเองเป็นคนผิดบาป และเชื่อในเรา ไปอยู่สวรรค์กับเรา แต่คนที่ปฏิเสธการช่วยเหลือจากเรา เขาก็ต้องพบกับการพิพากษาที่ยุติธรรมของเรา ตามผลการกระทำของเขาเอง"
แต่ด้วยความรักที่พระเยซูคริสต์มีต่อมนุษย์ พระองค์จึงได้ตรัสคำ ทำนาย 10 ประการ ไว้ล่วงหน้า เพื่อถ้ามนุษย์ได้เห็นคำทำนาย 10 ประการ เหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เขาจะได้กลับใจสำนึกในความผิดบาป และหันกลับมา หาพระเจ้าผู้ทรงสร้าง และรักเขา (ก่อนที่จะสายเกินไป ถ้าเหตุการณ์ 10 ประการนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ แสดงว่าโลกใกล้มาถึงจุดจบของมันแล้ว)
ผู้อ่านที่รัก 10 คำทำนายข้างล่างต่อไปนี้ ได้เกิดขึ้นจริงตาม ที่พระเยซูได้ทรงทำนายไว้แล้ว นั่นคือ...

คำทำนายประการที่ 1 ประเทศอิสราเอลจะต้องรวมตัวกันเป็น ประเทศขึ้นมาใหม่ (มัทธิว 24:32-35)

ซึ่งคนในประเทศนี้ ได้แตกกระจัดกระจายไปทั่วโลกถึง 2590 ปี มาแล้ว แต่เมื่อปี ค.ศ.1948 คือเมื่อสี่ถึงห้าสิบปีก่อน คนอิสราเอลที่กระจัดกระจายไปทั่ว โลกนั้น ก็ได้กลับมารวมตัวเป็นประเทศอิสราเอลอีกครั้งหนึ่งจนทุกวันนี้ ซึ่งเป็นจริงดังคำทำนายแล้ว.

คำทำนายประการที่ 2 จะมีผู้ที่อ้างตัวว่า "ฉันคือพระเยซูคริสต์" (มัทธิว 24:5)

ซึ่งพวกเราก็เห็นชัดในข่าวที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ คือ นาย จิม โจนส์ และ นาย เดวิท โคเรซ ซึ่งอ้างตัวเป็นพระเยซูคริสต์ (ในอดีตไม่เคย มีคนมาอ้าง เพิ่งจะมีในยุคนี้ นั่นแสดงว่าโลกนี้ใกล้ถึงอวสานแล้วจริง ๆ)

คำทำนายประการที่ 3 จะเกิดสงคราม กับข่าวลือเรื่องสงคราม (มัทธิว 24:6)

เริ่มตั้งแต่การประท้วง การขัดแย้งภายในประเทศ และลุกลามไปจนถึงสงครามโลก นับตั้งแต่ต้นศตวรรตที่ 20 นี้เป็นต้นมาได้เกิดสงครามโลกถึง 2 ครั้ง และข่าวลือสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ลือกันเรื่อย ๆ

คำทำนายประการที่ 4 จะเกิดแผ่นดินไหวในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก (มัทธิว 24:7)

ซึ่งพวกเราก็ประจักษ์กันด้วยสายตาอยู่แล้ว และการเกิดแผ่นดินไหวในแต่ละครั้งนั้น ก็ทวีความรุนแรง และกลืนชีวิตมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นที่น่าสังเกตอย่างนึงก็คือ ประเทศที่ไม่เคยมีแผ่นดินไหว ก็เริ่มมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นแล้ว เมืองไทยของเราก็เริ่มไหวเช่นกัน

คำทำนายประการที่ 5 จะเกิดการกันดารอาหาร (มัทธิว 24:7)

เพราะการสงคราม และประชากรของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดินฟ้าอากาศ เริ่มแปรปรวน อากาศเป็นพิษ สภาพแวดล้อมเริ่มเสื่อมโทรม ปัจจุบันนี้มีคนมากกว่า ครึ่งโลกที่กำลังขาดอาหาร และปัจจุบันนี้ก็มีเด็กตายเพราะขาดอาหาร เฉลี่ยแล้ว วันละประมาณ 40,000 คนทั่วโลก

คำทำนายประการที่ 6 จะมีคนสอนผิดเกิดขึ้นอย่างมากมาย (มัทธิว 24:23-24)

คนเหล่านี้จะอ้างตัวว่า เขาสามารถช่วยคนให้รอดได้ และเขาเป็นพวกคริสเตียนแท้จริง แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเหล่านี้ เป็นพวกสอนผิด พวกเขาจะล่อลวงคนให้เชื่อในพระคัมภีร์ คำสอน ซึ่งเป็นความคิดของมนุษย์ หรือเป็นคำสอนที่พวกเขาคิดขึ้นเอง คุณคงจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว เช่น พวกฝรั่งผูกเน็คไทขี่จักรยาน หรือพวกแฟมิลี่ที่คอยจับเด็กที่มีปัญหาเพื่อขาย ตัวหาเงินเข้านิกาย หรือลัทธิโอมชินลิเคียว ที่อ้างว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ

คำทำนายประการที่ 7 จะมีโรคระบาด โรคร้ายที่รุนแรง และร้ายกาจเกิดขึ้นในโลก (ลูกา 21:11)

ปัจจุบันนี้เราจะเห็นว่าโรคเอดส์ หรือ อีโบล่า กำลังกระจายไปทั่วโลก แม้แต่วงการ แพทย์เองก็หมดปัญญาในการรักษาหรือแก้ไขโรคเหล่านี้ได้

คำทำนายประการที่ 8 ความรู้ของมนุษย์จะทวีมากขึ้น (ดาเนียล 12:4)

นี่เป็นเรื่องจริงที่พวกเราปฏิเสธไม่ได้เลย เพราะความรู้ และความเจริญของคนในยุคนี้นั้น ก้าวหน้า และก้าวเร็วกว่าคนในอดีต หลายร้อย หลายพันเท่า

คำทำนายประการที่ 9 ความผิดบาปจะทวีความรุนแรงมากขึ้น (มัทธิว 24:12) (2 ทิโมธี 3:1-5)

การล่วงประเวณี การกระทำผิดเรื่องเพศ การหย่าร้าง กำลังเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม การอกตัญญูต่อพ่อแม่ การทำให้พ่อแม่เสียใจเป็นเรื่องปกติ การฆ่ากัน การทะเลาะวิวาท จะเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม คนเราจะยิ่งนับถือศาสนา แต่เปลือกนอก แต่แก่นแท้ของศาสนานั้นเขากลับปฏิเสธ นี่กำลังแสดงให้เห็นว่า ความผิดบาปกำลังทวีความรุนแรงมากจริง ๆ

คำทำนายประการที่ 10 ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ จะต้องกระจายไปทั่วโลก แล้ววาระสุดท้ายของโลกก็จะมาถึง (มัทธิว 24:14)

ซึ่งวันนี้เราก็เห็นแล้วว่า ข่าวประเสริฐเรื่อง พระเยซูคริสต์นั้นกำลังแพร่กระจายออกไปทั่วโลกจริง นั่นแสดงว่าโลกของเรากำลัง จะใกล้ถึงที่สุดของมันแล้ว

หลังจากคำทำนายทั้ง 10 ประการ ได้สำเร็จแล้ว วันนั้นโลกของเราใบนี้จะต้อง ถูกเผาผลาญด้วยไฟบรรลัยกัลป์ และหลังจากนั้นดวงตาทุกคู่ของมนุษย์ จะได้เห็นการพิพากษาอันเที่ยงธรรมของพระเยซูคริสต์ (2เปโตร 3:10)
ท่านผู้อ่านที่รัก บัดนี้ท่านได้เห็นแล้วว่า คำทำนาย 10 ประการ ของพระเยซูคริสต์ ได้สำเร็จไปแล้ว 9 ประการ และขณะนี้พวกเรากำลังอยู่ในคำทำนายประการที่ 10 คือ การได้ยินข่าวประเสริฐ นั้นแสดงว่าพระเยซูคริสต์ใกล้ที่จะเสด็จมาครั้งที่ 2 แล้ว วันที่พระองค์จะทรงพิพากษามนุษย์นั้นก็ใกล้เข้ามาเช่นกัน
สำหรับคนเหล่านั้นได้ รับการยกโทษบาปจากพระองค์แล้ว เขาไม่กลัวกับการพิพากษาที่กำลังจะมา แต่สำหรับผู้ที่มีความผิดบาปซ่อนอยู่อย่างมากมายในชีวิต เขาก็จะต้องได้รับการพิพากษา และรับโทษตามการกระทำของเขา และต้องอยู่ในนรกเป็นนิตย์

อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์
http://www.ccma.i-p.com


คัดลอกจาก http://www.followhissteps.com/web_christianstories/10prophecy.html

การทำนายวันสิ้นโลกของศาสนาอิสลาม

การทำนายวันสิ้นโลกของศาสนาอิสลาม



 
วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น จะเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่

สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮ แบ่งออกเป็นสามประเภทได้แก่

ประเภทที่ 1 สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด

เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส (เมืองเยรูซาเล็ม) เป็นต้น
ประเภทที่ 2 สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  • เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย
  • มีการแอบอ้างเป็นนบี
  • ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย
  • ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป
  • ความโง่เขลาจะมาแทนที่
  • จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย
  • มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ
  • คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ
  • ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ
  • จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย
  • เวลาจะกระชันชิด (วันและเวลาจะสั้นลง จนกระทั่งหนึ่งปีเสมือนหนึ่งเดือน และหนึ่งเดือนเสมือนหนึ่งสัปดาห์ และหนึ่งสัปดาห์เหมือนหนึ่งวัน)
  • มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ
  • คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม
  • จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ
  • จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย
  • จะมีการตั้งภาคี (ชิริก) ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย
  • การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ
  • เงินทองจะมีมากมาย
  • การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย
  • จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง
  • ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่
  • ความชั่วช้าจะแพร่หลาย
  • การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก
  • มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี
  • คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง
  • ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน
  • การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น
  • ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย
  • จะมีตำรางานเขียนมากมาย
  • สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง
  • มีพยานเท็จมากมาย
  • มีการตายแบบฉับพลัน
  • ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล (อนุมัติ)
  • คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง
  • สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์
  • ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้
  • สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา
  • ประเทศอิรักและชาม (ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน ผู้แปล) จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว

ประเภทที่ 3 สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน

ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว เช่น
  • แม่น้ำฟุรอต (แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก) จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา
  • กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต
  • จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก
  • จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย
  • จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน (ในประเทศยะมัน)
  • จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา (คือ ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ)
  • ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน
  • เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง
  • อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ (เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า "ซู สุวัยเกาะตัยน์" (แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลก


สัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮ

จากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า "ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์ (พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก นบีอีซา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม (มะห์ชัร) ของพวกเขา" มุสลิม: 2901)

1. การปรากฏตัวของดัจญาล

ดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอ๋ซาน (ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน ผู้แปล) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส (ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร (แหลมซีนาย ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ มันไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยพิทักษ์รักษาอยู่ (เมื่อมันไม่สามารถเข้าเมืองมะดีนะฮฺได้) มันจะหยุดอยู่ ณ พื้นที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้ แล้วเมืองมะดีนะฮจะสั่นไหวสามครั้ง เมื่อนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิก (กลับกลอก) จะถูกขับกระเด็นออกจากเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมด

2. การลงมาของนบีอีซา บุตร มัรยัม

หลังจากการออกมาสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดินของดัจญาล อัลลอฮฺจึงส่งนบีอีซา บุตร มัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม ลงจากฟากฟ้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางประภาคารสีขาวทางทิศตะวันออกของเมืองดามัสกัส ในลักษณะที่ท่านลงจะวางสองฝ่ามือของท่านบนปีกของมลาอิกะฮฺสองท่าน นบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารดัจญาล ท่านจะทำการปกครองด้วยบทบัญญัติของอิสลาม ท่านจะหักไม้กางเขน ท่านจะฆ่าสุกร ท่านจะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีราชนูปกร (ญิซยะฮฺ) ในวันนั้นทรัพย์เงินทองจะมีมากมายก่ายกอง ความขัดแย้งและข้อพิพาทต่างๆ จะหมดไป ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเจ็ดปี โดยไม่มีการเป็นศัตรูต่อกันระหว่างผู้ใดเลย สุดท้ายท่านก็สิ้นชีวิตแล้วบรรดามุสลิมก็จะจัดการละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ท่าน

จากนั้นอัลลอฮฺจะส่งลมพัดที่เย็นชื่นมาจากแถบประเทศชาม (แถบซีเรีย) ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่หัวใจของเขามีอีมานแม้เพียงเท่าผงธุลีเว้นแต่เมื่อโดนลมนี้แล้วจะเสียชีวิตทันที แล้วในโลกนี้จะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วช้าตัวเบาเช่นวิหคและมีปัญญาเช่นเดรัจฉาน พวกเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอย่างเปิดเผยเหมือนกับลา จากนั้นชัยฏอนจะสั่งพวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการะรูปปั้น พวกเขาก็จะทำตาม แล้ววันกิยามะฮฺจะบังเกิดขึ้นกับพวกเขา

3.ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์

ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์คือ สองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานอาดัม พวกเขาคือมนุษย์จอมพลังที่ไม่มีใครเทียมทานได้ การออกมาของสองประชาชาตินี้คือสัญญาณวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม จะขอดุอาอ์ให้พวกเขาตาย

4. 5. 6. จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบ

การเกิดธรณีสูบสามแห่งเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ คือจะเกิดทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกและแถวคาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น

7. ควันไฟ

"เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำควันออกมาซึ่งจะเห็นได้ชัด ซึ่งจะครอบคลุมผู้คน นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด" (อัด-ดุคอน : 10-11)

8.ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก

การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ เป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาล

"วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อมันขึ้นมาทางทิศตะวันตกแล้วมวลมนุษย์จะกลายเป็นผู้ศรัทธามั่น แต่ ณ วันนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา" (อัล-บุคอรีย์ : 4635, มุสลิม: 157 )

9.การออกมาของด๊าบบะฮฺ (สัตว์เลื้อยคลาน)

การออกมาของด๊าบบะฮฺสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวาระสุดท้ายของโลกเป็นสัญญาณว่าวันกิยามะฮฺนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว สัตว์ดังกล่าว จะประทับตราบนจมูกของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) และจะทำให้ใบหน้าของผู้ศรัทธามีราศี ส่วนหนึ่งของหลักฐานเกี่ยวกับการออกมาของด๊าบบะฮฺ มีดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
"และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา (หมายถึงได้เวลาที่กำหนดแล้ว) เราจะได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา" (อัน-นัมล์ : 82)

10.ไฟไล่ต้อนมวลมนุษย์

ไฟที่จะออกมาในวันนั้นคือไฟกองใหญ่อันมหึมา ซึ่งจะออกจากทางทิศตะวันออกของประเทศยะมัน (เยเมน) จากก้นบึงของทะเลเอเดน มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของวันกิยามะฮฺ และเป็นเครื่องหมายแรกที่อัลลอฮฺอนุมัติให้เหตุการณ์กิยามะฮฺบังเกิดขึ้น ไฟกองดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากประเทศยะมันและจะลามไปทั่วโลกเพื่อไล่ตอนมวลมนุษย์สู่มะห์ชัร (แหล่งรวมตัวเพื่อการพิพากษา) ณ ดินแดนชาม


คัดลอกจาก http://www.islamhouse.com/p/57654

คำทำนายวันสิ้นโลก อีกความเชื่อหนึ่ง

คำทำนายวันสิ้นโลก อีกความเชื่อหนึ่ง
ในวันสิ้นโลกจะมีการเป่าสังข์ดังทั่วโลก พระอัลลอฮ์จะเป็นผู้สอบสวน ทุกๆคน ว่ามีละหมาดมาไหม พระองค์จะปกป้องผู้ที่ศรัธทาต่อพระองค์เท่านั้น วันสิ้นโลก จะมีอุกกาบาทตกลงมา แต่ว่ามุสลิมทุกคน จะไม่ทันเห็น เพราะได้ ความเมตตาจากอัลลอฮฺให้สิ้นชีวิตกันก่อน เหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ที่ไม่ได้ความเมตตา


โลกจะยังไม่ถึงกาลอวสานจนกว่า
- ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายมีจำนวนลดน้อยลง
- ยาจกในวันนี้ สามารถสร้างตึกสูงใหญ่ในวันหน้า
- เวลาสั้นลงน้อยกว่าเดิม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
- บ่าว ให้กำเนิดบุตร ที่จะมาเป็นเจ้านายในอนาคต
- จะมีการพบภูเขาทองคำ แล้วพากันแก่งแย่งมาเป็นของตน
- เสื้อผ้าอาภรที่สวมใส่ ในเวลาเช้า จะถูกเปลี่ยนในเวลาสาย เสื้อผ้าอาภรที่สวมใส่ในเวลาสาย จะถูกเปลี่ยนในเวลาเย็น เสื้อผ้าที่ถูกใส่ในเวลาเย็นจะถูกเปลี่ยนในเวลาก่อนนอน
- พวกผู้หญิงจะสวมใส่เสื้อกันหนาว ที่ดูเหมือนไม่สวมใส่อะไรเลย
- พวกมนุษย์หลงเชื่อ สิ่งที่เห็นในชั้นฟ้าและอวกาศ ว่ามันเป็นความจริง
- ความไว้วางใจจะไม่มีในหมู่มนุษย์
- แผ่นดินไหวทางทิศ ตะวันตก แผ่นดินไหวทางทิศตะวันออก



ในวันสิ้นโลกครับ
- จะบังเกิดควันสีดำแผ่ปกคลุมทั่วโลก
- จะมี อสูรกาย ที่ชื่อว่า ยุ มะยุด ที่ถูกกักขังอยู่ใต้พื้นโลกด้วย ผนังหนาที่เป็นทองแดงและไฟ ครั้นสิ่งกักกันถูกแตกออก มันจะขึ้นมาล่อลวงไล่เข่นฆ่ามนุษย์
- ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
- จะมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง สามารถพูดคุยกับมนุษย์ได้


ส่วนนี่สัญญาณวันสิ้นโลกครับ
สัญญาณย่อย ได้แก่
1. แผ่นดินไหวจะมีมาก
2. ลมพายุจะรุนแรง
3. ความตายจะดาษดื่น (จากโรคร้าย)
4. มนุษย์จะแข่งขันประดับประดามัสยิด
5. คนโกหกจะได้รับความเชื่อถือ คนพูดจริงกลับถูกมองว่าโกหก
6. คนทุจริตจะปลอดภัย คนไว้วางใจได้กลับถูกบิดพริ้ว
7. การผิดประเวณี (ซินา) จะดาษดื่น
8. สุรา ดอกเบี้ย เป็นสิ่งอนุมัติ
9. ในมัสยิดมีเสียงอึกทึก
10. คนรุ่นหลังจะประณามคนรุ่นก่อน
11. ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นทุกหัวระแหง
12. ผู้ใหญ่จะรับใช้เด็ก
13. อุตริกรรม (บิดอะห์) จะปรากฎชัด
14. ความอายจะน้อยลง
15. สตรีจะประพฤติตัวเหมือนบุรุษ ส่วนบุรุษจะประพฤติตัวเหมือนสตรี
16. สตรีจะนุ่งน้อยห่มน้อย
17. ผู้ทุจริตได้รับการช่วยเหลือ ผู้ถูกละเมิดกลับถูกทอดทิ้ง
18. ผู้คนจะอ่านอัลกุรอานกันเพียงลิ้น (ขาดการกฏิบัติตาม)
19. การนินทาให้ร้ายจะมีมาก
20. การสาบานด้วยสิ่งอื่นจากอัลเลาะห์จะมีมาก
21. การหย่าร้างเกิดขึ้นมาก
22. ความชั่วช้าเลวทราบจะปรากฎชัด
23. มนุษย์จะปฏิบัติตามอารมณ์กิเลสและตัณหา
24. บุรุษจะถูกทำลาย เพราะทรัพย์สินเป็นเหตุ
25. มนุษย์จะตัดขาดญาติมิตร
26. สมาธิของคนละหมาดจะหายไป
27. ประชาชาติจะแตกออกเป็น 70 กว่าจำพวก
28. วันและเวลาจะสั้นลง จนกระทั่งหนึ่งปีเสมือนหนึ่งเดือน และหนึ่งเดือนเสมือนหนึ่งสัปดาห์ และหนึ่งสัปดาห์เหมือนหนึ่งวัน
29. การแต่งงานเกิดขึ้น เพราะสมบัติเป็นเหตุ
30. เรื่องราวของมนุษย์ ล้วนเป็นความโลภโมโทสัน
31. การตลาดจะฝืดเคือง
32. การให้เกียรติจะน้อยลง แต่การเหยียดหยามจะมากขึ้น
33. ความรับผิดชอบจะหายไป ความวุ่นวายสับสนจะแทนที่
34. ศาสนาจะถูกซื้อขายด้วยวัตถุทางโลก (ดุนยา)
35. หัวใจมนุษย์หมดสิ้นจากความดี
36. ทานบังคับ (ซะกาต) ถูกนำมาจำหน่ายค่าแรงและถูกมอบให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิรับ
37. บุรุษจะฆ่ากันโดยไร้เหตุผล
38. ความรู้จะถูกเก็บ คนโง่จะขึ้นแสดงธรรม (บนมิมบัร)
39. เด็กที่เกิดจากการผิดประเวณีจะมีมาก
40. คนที่มีลูกหลานต้องโศกเศร้า เพราะการเนรคุณ
41. สตรีจะทำหน้าที่แทนบุรุษ
42. เด็กจะไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะไม่เมตตาเด็ก
43. ความบริสุทธิ์จะหายไปจากการงาน
44. คนชั่วจะภูมิใจ และโอ้อวดความชั่วของตน
45. การพนันจะมีมาก
46. ผู้บริสุทธิ์จะถูกฆ่าเป็นการล้างแค้น (ไม่ใช่การรับใช้ชาติ)
47. มนุษย์จะถูกเรียกร้องสู่ขุมนรก และหันเหออกจากการภักดีต่ออัลเลาะห์ตาอาลา



ส่วนสัญญาณใหญ่ ได้แก่
1. อิหม่ามมะห์ดีปรากฎตัว
2. ดัจญ้าลเผยโฉม ยักษ์ชั่วร้าย
3. ท่านศาสดาอีซาจะถูกส่งลงมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง
4. ยะญูดและมะญูด พังกำแพงทะลุออกมาได้
5. มีสัตว์ประหลาดออกมาจากแผ่นดิน
6. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
7. มีหมอกควันเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน
8. เกิดไฟประลัยกัลป์ออกมาขับไล่ผู้คนไปรวม ณ ชุมนุมสถาน
9. อัลกุรอาน และความรู้ถูกเก็บ (โดยการล้มตายของบรรดาผู้รู้)


ที่มา : http://www.smoothcent.in.th

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ค้นหาอารยธรรมต่างดาว


สองเดือนก่อนหน้านี้ มีข่าวองค์การนาซาส่งยานที่เป็นหุ่นยนต์สำรวจชื่อ Curiosity
ยานนี้มีขนาดและน้ำหนักพอๆกับรถอีโคคาร์ไปลงบนดาวอังคาร ยานสำรวจที่วิ่ง ได้เหมือนรถยนต์หลายล้อคัน ดังกล่าวจะทำงานเป็นห้องแล็บในตัว เพื่อค้นหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตขนาดจุลินทรีย์บนดาว
เคราะห์สีแดงดวงนี้ แต่จากข้อมูลที่ได้รับตลอดเวลาที่ผ่านมายังไม่ปรากฏข้อมูลที่จะบอกให้เห็นว่า
ดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ หรือเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่หรือขนาดที่ตามองไม่เห็น


หุ่นยนต์สำรวจ Curiosity.


อย่างไรก็ตาม งานของยาน Curiosity ยังถือว่าแค่เริ่มต้น และพื้นที่ของการสำรวจก็ยังแคบมาก
เมื่อเทียบกับขนาดของดาวเคราะห์ทั้งดวง ถ้าหากมันพบอะไรอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ของนาซาคาดหวังในเวลาเพียงเดือนสองเดือน ก็คงฟลุกยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่ร้อยใบพร้อมกันในคราวเดียว


ชีวิตบนดาวอื่นอาจคล้ายหรือต่างจากบนโลกเราอย่างสิ้นเชิงก็ได้.
อีกแง่คิดหนึ่งคือ เครื่องมือตรวจวัดต่างๆที่ติดตั้งไปกับหุ่นยนต์ตัวนี้ ก็เป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นจากพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและองค์ประกอบที่สำคัญต่างๆ ที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ความรู้มาจากการเรียนรู้บนโลกใบนี้ ดังนั้น ถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ตามองไม่เห็นของดาวอังคารจะมีอยู่เต็มไปหมด แต่ถ้ามีองค์ประกอบของชีวิตที่แตกต่างไปจากที่มีบนโลกเรา เครื่องมือเหล่านั้นก็ไม่น่าจะตรวจหาพบได้ง่ายๆ


ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนได้รับการสอบถามเข้ามาบ่อยครั้งถึงความเชื่อที่ว่า มนุษย์เรานั้นมาจากดาวดวงอื่น พูดง่ายๆคือ พวกเราเป็นเชื้อสายของมนุษย์ต่างดาวที่มายังโลกนี้เมื่อหลายหมื่นปีมาแล้วนั่นเอง

ซึ่งขอตอบว่าทั่วโลกมีคนที่เชื่อแนวคิดอยู่มากมาย โดยคนเหล่านี้ยกเหตุผลและหลักฐานมาประกอบไว้หลากหลาย เช่น สิ่งก่อสร้างโบราณขนาดใหญ่ต่างๆที่ยังไม่มีคำตอบว่ามนุษย์ยุคนั้นสร้างขึ้นได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นพีระมิดและสิ่งก่อสร้างจำนวนมากของอียิปต์ ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร เทคนิคการตัดหินขนาดใหญ่จนได้ ความเรียบและเหลี่ยมมุม ซึ่งน่าจะเกินกว่าที่ความสามารถของมนุษย์ยุคนั้นจะทำได้


ภาพอายุนับหมื่นปีบนผนังถ้ำในอิตาลี คล้ายกับมนุษย์อวกาศ.

ที่ทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ก็มีสิ่งก่อสร้างโบราณขนาดใหญ่ของชนพื้นเมืองจำนวนมาก เช่นที่ เมืองติฮัวนาโช และกองหินโบราณพูมา พันกู (Puma Punku complex) ของชาวอินคา ที่ประเทศโบลิเวีย ซึ่งมีแผ่นหินขนาดใหญ่จำนวนมากที่เรียบราวกับตัดด้วยเลเซอร์ บางก้อนหนักนับร้อยตัน
กำแพงหินประหลาดที่เมืองออลลันเตเตมโบ (Ollan taytambo) ประเทศเปรู ซึ่งเป็นการตัดหินก้อนใหญ่ๆแบบมีเหลี่ยมมุมไม่ธรรมดามาเรียงกันได้สนิทอย่างไม่น่าเชื่อ
หรือพีระมิดที่ชิเชนอิตซา (The Pyramid at Chichen Itza) ของชาวมายา ในประเทศเม็กซิโก
ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ย้อนกลับไปที่ทวีปยุโรป ประเทศตุรกี ก็มีสิ่งก่อสร้างอายุราว 9,500 ปีก่อนคริสตกาล หรือราว 11,500 ปี ถ้านับปีปัจจุบัน ที่เรียกว่าโกเบคลี เทเป (Gobekli Tepe) ซึ่งคนในยุคนั้นโดยทั่วไปยังอาศัยอยู่ตามถ้ำกัน


ฝีมือการตัดหินที่พูมา พันกู เรียบเฉียบจนไม่น่าเชื่อ.


การสำรวจในอวกาศด้วยมนุษย์นั้นยากและมีอันตรายมาก.


และยังมีของชิ้นเล็กๆที่เรียกว่า กลไกแห่งแอนติไคเธร่า ซึ่งเป็นกลไกที่ประกอบไปด้วยฟันเฟืองจำนวนมาก ทำด้วยสำริด วัดอายุได้ว่าอยู่ในยุคกรีกโบราณ แม้ว่าความรู้ด้านนวัตกรรมและคณิตศาสตร์การคำนวณต่างๆของชาวกรีกยุคนั้นจะมีสูงพอสมควร แต่ก็ไม่พบหลักฐานชิ้นอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายกันกับกลไกที่ว่าเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และยังมีเมืองใต้น้ำขนาดมโหฬารอีกหลายเมืองที่มีอายุหลายพันปี
อย่างที่แคมเบย์ อินเดีย เมืองใต้น้ำโยนากูนิ ที่ญี่ปุ่น และเมืองใต้น้ำนอกชายฝั่งคิวบา
ที่ประเมินอายุเก่าแก่ได้มากกว่าหนึ่งหมื่นปีล้วนแต่เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากว่าคนยุคนั้น ทำได้อย่างไร?


กลไกแห่งแอนติไคเธร่า.


ในอดีตที่ผ่านมามีการบันทึกถึงการมาเยือนของมนุษย์จากดาวอื่นๆไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นการพบยาน UFO ในที่ต่างๆ บ้างก็บอกว่าเคยถูกมนุษย์ต่างดาวเอาตัวไปโดยแสงประหลาด ที่เป็นเรื่องเป็นราวและมีภาพที่ดูเหมือนจริงหลุดออกมาสู่ภายนอกก็คือ เรื่องยานจากนอกโลกมาตกในทะเลทรายของเมืองรอสเวลส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1948 ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯก็เข้าไปเก็บหลักฐานต่างๆไปจนหมด


ภาพการชันสูตรมนุษย์ต่างดาวของเรย์ ซานติลี.

ว่ากันว่ายานที่ตกลงมานั้นพบร่างของมนุษย์ต่างดาวอยู่ด้วย ต่อมาในปี ค.ศ.1995 เรย์ ซานติลี นักสร้างภาพยนตร์คนหนึ่ง ได้นำภาพยนตร์การชันสูตรศพมนุษย์ต่างดาวซึ่งพบในจุดยานตกที่รอสเวลส์ที่ถ่ายด้วยกล้อง 16 มม. ความยาวกว่า 90 นาที มาเปิดเผยต่อสาธารณะ เรย์อ้างว่าเมื่อปี ค.ศ.1992 เขาซื้อฟิล์มนั้นมาจากช่างภาพของกองทัพอากาศผู้หนึ่ง สถานที่ถ่ายอยู่ที่ค่ายทหารในเมืองฟอทเวิร์ธ รัฐเท็กซัส (ภายหลังรัฐบาลสหรัฐฯ
ออกมาแก้ข่าวว่า สิ่งที่ตกที่รอสเวลส์นั้นคือบอลลูนตรวจอากาศหาใช่ยานอวกาศไม่)


ภาพสลักของอียิปต์ ดูคล้ายอากาศยาน.


ยังมีหลักฐานที่เป็นวัตถุโบราณอีกจำนวนมากที่เชื่อมโยงถึงการมาของมนุษย์ต่างดาวในอดีต เช่น ภาพแกะสลักยานอวกาศที่มีรูปร่างทันสมัยหลายลำในวิหารเซติที่ 1 ในอียิปต์ ซึ่งมีอายุหลายพันปี วัตถุโบราณอายุนับพันปีที่พบในโคลอมเบียทำด้วยทองคำมีปีกและหางรูปร่างเหมือนเครื่องบินเจ็ตในสมัยนี้ ยานวิมานที่มีการกล่าวถึงในคัมภีร์สันสกฤตโบราณของอินเดียว่าสามารถใช้เดินทางไปไหนมาไหนได้ทางอากาศ และยังบินออกไปนอกโลกหรือลงไปในน้ำได้ด้วย นอกจากนั้น ยังมีภาพวาดบนผนังของมนุษย์ยุคโบราณที่ดูเหมือนมนุษย์อวกาศอีกหลายต่อหลายแห่ง หลายภาพเป็นภาพที่มีดวงดาวกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่ด้วย ดูแล้วเป็นการสื่อความหมายคล้ายๆกัน ทั้งที่ภาพพวกนั้นต่างก็อยู่คนละจุดบนโลก!!



มีคำถามว่า ถ้ามนุษย์โลกสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์จากดาวดวงอื่นจริง แล้วยานอวกาศที่ใช้เดินทางมาอยู่ที่ไหนล่ะ? ก็มีคำตอบว่า หลังจากมาอยู่บนโลกแล้วช่วงหนึ่ง ก็อาจเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่หรือเกิดโรคระบาดจนทำให้พวกเขาต้องอพยพกลับไป เหลือทิ้งไว้เพียงประชากรจำนวนมากบนโลกนี้เพราะอพยพไปได้ไม่หมด

นอกจากนาซาแล้ว นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็พยายามหาคำตอบอยู่ว่าในจักรวาลอันหาที่สุดไม่ได้นั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่มีภูมิปัญญา มีเทคโนโลยีหรือไม่ เพราะเมื่อโลกเรานี้ยังมีมนุษย์อาศัยอยู่ บนดาวดวงอื่นจะไม่มีเลยเชียวหรือ โครงการเซติ หรือการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว (Search for Extra-Terrestrial Intelligence - SETI) จึงเป็นกิจกรรมของนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่ง ที่พยายามค้นหาหลักฐานของการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกที่มีภูมิปัญญา โดยการเฝ้าระวัง และตรวจตราท้องฟ้า เพื่อตรวจจับการส่งสัญญาณจากอวกาศ ในรูปแบบของคลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ และแสง ที่อาจส่ง มาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ในช่วงแรกโครงการได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันใช้ทุนจากเงินบริจาค


เมื่อวิทยาการพัฒนาขึ้น เราก็จะสำรวจดวงดาวได้ง่ายขึ้น.


โครงการเซติพยายามสร้างสมมติฐานเพื่อกำหนดกรอบการค้นหาให้แคบเข้า ทว่าการค้นหาแบบเฉพาะเจาะจงยังไม่ได้เริ่มขึ้นจนถึงปัจจุบัน หลังจากมีการค้นพบดาว kepler-22b ที่มีลักษณะและสภาพแวดล้อมแบบเดียวกับโลก คือโคจรในตำแหน่งคล้ายกับโลกรอบดาวฤกษ์ที่ใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์แล้ว ก็พบดาวอื่นๆ ตามมาอีกหลายดวงที่มีคุณสมบัติเหมือนๆกัน จากนี้ไปการค้นหาสิ่งมีชีวิตก็น่าจะง่ายขึ้นเพราะจะส่งสัญญาณตรงไปที่ดาวพวกนั้นได้เลย ปัจจุบันเซติได้สร้างเครือข่ายออกไปทั่วโลก

เรื่องการเดินทางไปในอวกาศเพื่อตามหาอารยธรรมต่างดาวและต้นกำเนิดของมนุษยชาตินั้นมีการสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Prometheus ซึ่งสร้างความฮือฮากับการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา สำหรับตอนนี้หากต้องการรับชมก็ลองไปหา DVD มาดูกันได้ครับ


สักวันเราคงค้นพบที่มาของสรรพชีวิตบนโลก.
สักวันหนึ่งเมื่อความรู้ของเราพัฒนาขึ้นจนสามารถสร้างยานอวกาศที่มีสมรรถภาพเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสงได้ การที่มนุษย์จะออกไปเยือนดาวต่างๆในจักรวาลเพื่อหาคำตอบถึงจุดกำเนิดของมนุษย์และจักรวาล คงเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงเวลานั้นจินตนาการต่างๆที่เคยดูในภาพยนตร์อาจเป็นจริงขึ้นมาก็ได้.








ที่มา : http://www.thairath.co.th/column/life/sundayspecial/296471


ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2012/10/blog-post_9.html#ixzz29FmWMkz8

บทความที่ได้รับความนิยม