วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พบ 2 “หลุมดำยักษ์” มวลมากกว่าดวงอาทิตย์หมื่นล้านเท่า

พบ 2 “หลุมดำยักษ์” มวลมากกว่าดวงอาทิตย์หมื่นล้านเท่า

นักวิทยาศาสตร์พบ 2 หลุมดำใหญ่ยักษ์สุดเท่าที่เคยพบ มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์เราถึง 10,000 ล้านเท่า อยู่ไกลออกไป 300 ล้านปีแสง จุดคำถามขึ้นว่าหลุมดำเหล่านั้นโตขึ้นมาได้อย่างไร

ทั้งนี้ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) สหรัฐฯ ได้ค้นพบ2 หลุมดำขนาดยักษ์ ซึ่งเอพีรายงานว่าแต่ละหลุมดำนั้นมีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เท่า 10,000 ล้านเท่า โดยอยู่กาแลกซีวงรีที่ห่างจากโลกไป 300 ล้านปีแสง โดยหลุมดำที่ติดอันดับใหญ่สุดก่อนหน้านี้ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 6 พันล้านเท่า

“พวกมันเป็นปีศาจชัดๆ เราไม่คาดว่าจะได้เจอหลุมดำใหญ่ขนาดนี้ เพราะพวกมันมีขนาดใหญ่มากกว่าที่จะชี้วัดได้ด้วยคุณสมบัติของกาแลกซีที่พวกมันอยู่ มันเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาจริงๆ” หม่า จงเผ่ย (Chung-Pei Ma) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากเบิร์กเลย์กล่าว

สำหรับงานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ลงวารสารเนเจอร์ (Nature) นี้ นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า หลุมดำเหล่านี้อาจเหลือจากควอซาร์ (quasar) ที่แออัดในยุคต้นๆ ของเอกภพ โดยมีมวลคล้ายกับควอซาร์อายุน้อยและถูกซ่อนไว้อย่างดีมาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับการค้นพบล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ทั้งกล้องโทรทรรศน์บนโลกและกล้องโทรทรรศน์ในอวกาศอย่างฮับเบิล (Hubble) รวมถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์เพื่อสังเกตดวงดาวที่อยู่ใกล้ๆ หลุมดำ และวัดความของดาวเพื่อหาหลุมดำขนาดใหญ่นี้ ซึ่งอยู่ในบริเวณที่มองไม่เห็น

ทั้งนี้ หลุมดำเป็นวัตถุที่หนาแน่นมากจนไม่มีสิ่งใดแม้กระทั่งแสงที่สามารถหนีออกมาได้ ซึ่งบางหลุมดำเกิดจากการยุบตัวของดาวขนาดใหญ่ แต่ นิโคลัส แมคคอนเนลล์ (Nicholas McConnell) นักศึกษาเบิร์กเลย์ซึ่งศึกษาเรื่องนี้ระบุว่า ยังไม่แน่ชัดนักว่าหลุมดำยักษ์นี้เกิดขึ้นมาอย่างไร และการมีขนาดใหญ่อย่างนี้หลุมดำทั้งสองต้องโตขึ้นมากนับแต่ก่อเกิดขึ้นมา

เชื่อว่ากาแลกซีส่วนใหญ่มีหลุมดำอยู่ที่ใจกลาง ยิ่งกาแลกซีใหญ่มากหลุมดำก็ยิ่งใหญ่ขึ้นไปด้วย ส่วนควอซาร์นั้นเป็นใจกลางกาแลกซีที่ทรงพลังมหาศาลและอยู่ไกลโพ้น ซึ่งนักวิจัยระบุว่าการค้นพบของพวกเขานั้นชี้ว่ามีหลายวิธีที่หลุมดำจะเติบโตขึ้น โดยขึ้นอยู่กับขนาดของกาแลกซี

ด้าน หม่าคาดเดาว่าหลุมดำทั้งสองซ่อนตัวมาได้นาน เพราะตอนนี้หลุมดำเหล่านั้นอยู่ในบั้นปลายของควอซาร์ที่ค่อนข้างสงบ ซึ่งอยู่อย่างเงียบเชียบและนิ่งเฉยมากกว่าเมื่อครั้งอยู่ในควอซาร์อายุน้อยที่อึกทึกและวุ่นวายเมื่อหลายพันล้านปีก่อน โดยฌธอได้เปรียบเทียบการค้นพบหลุมดำขนาดใหญ่นี้ว่าสำหรับนักดาราศาสตร์แล้วก็เหมือนการที่คนสูงกว่า 2 เมตรไปเจอกระดูกไดโนเสาร์เข้าและดูด้อยลงทันตา

“แล้วพวกมันโตขนาดนี้ได้อย่างไร การค้นพบสิ่งที่ไม่เจอได้บ่อยนี้อาจช่วยให้เราเข้าใจได้ว่าพวกมันมีต้นกำเนิดที่ใหญ่อยู่แล้ว หรือกินอะไรเข้าไปจนใหญ่โตได้ขนาดนี้” หม่าให้ความเห็น

ทางด้าน มิเชล แคปเปลลารี (Michele Cappellari) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) อังกฤษ ซึ่งเขียนความเห็นในวารสารเนเจอร์ เห็นด้วยว่าการค้นพบหลุมดำทั้งสองครั้งนี้อาจแสดงถึงซากที่เหลือของหลุมดำขนาดใหญ่ที่เป็นพลังให้แก่ควอซาร์ที่สว่างสุกใสที่สุดในเอกภพยุคเริ่มต้น

หนึ่งในหลุมดำที่เพิ่งพบนั้นมีมวลหนักกว่าดวงอาทิตย์ 9.7 พันล้านเท่า ส่วนอีกหลุมดำนั้นอยู่ไกลไกลออกไป โดยน่ามีขนาดใหญ่เท่าๆ กันหรืออาจจะใหญ่กว่า และเป็นไปได้ว่าอาจมีหลุมดำขนาดใหญ่กว่าซ่อนอยู่ที่เดียวกันนั้น ซึ่งหม่ากล่าวว่า คำถามว่าหลุมดำสามารถโตขึ้นได้แค่ไหนนั้นมีมูลค่านับล้านเหรียญสหรัฐฯ และตอนนี้นักวิจัยกำลังจับตาดูกาแลกซีที่ใหญ่ที่สุดเพื่อหาคำตอบ


ภาพวาดโดยศิลปินที่แจกจ่ายโดยหอดูดาวเจมินี (Gemini Observatory) ตีพิมพ์ลงเนเจอร์ เผยภาพจำลองหมู่ดาวที่กำลังถูกหลุมดำในใจกลางกาแลกซีดูดกลืน (เอเพี)



ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000155362

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คำพยากรณ์ภัยพิบัติ จากเด็กชายปลาบู่

คำพยากรณ์ภัยพิบัติ จากเด็กชายปลาบู่





ดูเหมือนว่าภัยพิบัติ และเหตุการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกตั้งแต่ต้นปี 2011 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น สึนามิที่ญี่ปุ่น กัดดาฟี แผ่นดินไหว การปฏิวัติลิเบีย ฯลฯ ประกอบกับคำพยากรณ์ต่าง ๆ จะยิ่งทำให้ชาวโลกยิ่งเชื่อว่า คำทำนายโลกแตก ในปี 2012 ดูท่าจะเป็นจริงมากขึ้นทุกที

สอดคล้องกับจากคำพยากรณ์ของ "เด็กชายปลาบู่" ที่กำลังฮือฮาในโลกไซเบอร์อยู่ในขณะนี้ เพราะไม่เพียงแต่เด็กชายปลาบู่จะทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็น่าหวาดกลัวไม่ใช่น้อยเช่นกัน ซึ่งคำพยากรณ์เหล่านี้ เด็กชายปลาบู่ทำนายเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่ เขาเสียชีวิตไปแล้วถึง 37 ปี...ส่วนคำทำนายชวนขนลุกที่ว่านั้นจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ ณ บัดนี้...

นายทองใบ คำสี พ่อของเด็กชายปลาบู่ ได้เป็นสื่อในการบอกเล่าคำพยากรณ์ดังกล่าวให้ฟังว่า... กระผมชื่อนายทองใบ คำสี เกิดวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2481 อายุ 73 ปี เป็นชาวอำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี มีลูกทั้งหมด 5 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 1 คน ชื่อ "ปลาบู่" ซึ่งได้เสียชีวิตมาแล้ว 37 ปี ตอนเขามีอายุได้ 5 ปี 8 เดือน กับอีก 15 วัน

ก่อนตายบุตรชาย บอกว่า อีก 15 วันหนูจะตายแล้ว หนูอยากคุยกับพ่อ และให้ไปซื้อเทปมาบันทึกเสียงเขา แต่ตนไม่ได้ทำตาม เพราะไม่เชื่อว่าเขาจะตายจริง ๆ ตนได้ฟังหลาย ๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอนที่บุตรชายได้เล่าเมื่อวันที่ 23-25 มิถุนายน พ.ศ.2517 เป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว เรื่องสำคัญ ๆ ที่เขาเล่าคือ เรื่องอดีตชาติของเขา และเรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและโลกในอนาคต

ในเรื่องอดีตชาติของเขา เขาบอกว่า หนูระลึกชาติได้จริง ๆ เป็นปู่ของปู่ทวด เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตาเป็นทิพย์ หูเป็นทิพย์ หมดทั้งตัวเป็นไพฑูรณ์ เมื่อชาติก่อนโน้นหนูเคยเกิดเป็นพระชื่อ "ชิตะ" ตอนพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตได้บอกว่าหนูจะได้เป็น "พระศรีอาริยเมตไตรย" ไม่ต้องมีตำรา ไม่ต้องมีคัมภีร์ก็เทศน์ได้

และก่อนจะเล่าถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ปลาบู่ถามว่า "เขื่อนที่ จ.ตาก เจอแผ่นดินไหวพังมั้ย?" ตอนนั้นตนก็ทำงานกับพวกฝรั่ง รู้ว่ามันแข็งแรงมากขนาดไหนก็บอกไปว่า ไม่จมหรอก แต่ปลาบู่บอกว่า "หนูมองเห็นความเสียหาย มีคนตายมากมาย อำเภอสามเงา ตาก นครสวรรค์ อโยธยา ปทุมธานี นนทบุรี โรงพยาบาลศิริราช ท่าเรือคลองเตย เครื่องบินโดยสารไอพ่นจมน้ำด้วย"

ทั้งนี้ ปลาบู่ต้องการให้ตนเป็น "สื่อ" มาบอกให้มีการเตรียมการป้องกันเขื่อนที่จะพังจากแรงแผ่นดินไหว ก่อนจะแก้ไขไม่ได้ โดยการเอาเหล็กรางรถไฟไปหุ้มให้แข็งแรงเป็นเขื่อนเหล็ก (นำรางรถไฟที่ไม่ใช้แล้ว เพราะสับเปลี่ยนเป็นรางใหม่ ซึ่งปัจจุบันวางกอง ๆ ไว้มากมายตามสถานีรถไฟ) นำไปเสริมตัวเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก และเขื่อนเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อให้มีความแข็งแรง เพียงพอที่จะรับแรงแผ่นดินไหว เพราะการเตรียมการป้องกันไว้ก่อน เมื่อเกิดปัญหาจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา

และเขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้วางท่อใหญ่ ๆ เพื่อระบายน้ำจากตัวเขื่อนลงทะเล เพราะถ้าระดับน้ำในเขื่อนเต็มขึ้นมา ก็จะมีการปล่อยน้ำออกจากตัวเขื่อน น้ำก็จะท่วมบ้านเรือนที่อยู่ใต้ตัวเขื่อน แต่ถ้ามีการวางท่อใหญ่ ๆ จากตัวเขื่อนลงสู่ทะเลเลย น้ำก็จะระบายลงท่อไปสู่ทะเล ไม่ท่วมบ้านเรือนและแผ่นดินที่อยู่ข้างบน น้ำเมื่ออยู่ในท่อจะสามารถควบคุมได้ และจะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ในระยะยาว และเรื่องการขุดคลองลัดคอคอดลูกน้ำเต้าเพื่อระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ ไหลเร็วขึ้น (ปัจจุบันเป็นโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว)

หนูอยากให้รัฐบาลทำเขื่อนใต้น้ำ ดักทรายเป็นระยะเพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยาตื้นขึ้นเหมือนเดิม เพราะเมื่อขุดแม่น้ำเจ้าพระยาลึก ๆ ก้นแม่น้ำก็จะมีแต่ตมเลนน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำจะกดตมเลนในแม่น้ำ ให้ปูดขึ้นมา ทำให้เกิดการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำ และเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ตึกรามบ้านช่อง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จะพัง อีกทั้ง น้ำในตัวเขื่อนที่พังยังไหลมาท่วมซ้ำเติม ทุกข์ยาก ลำบากมาก ๆ ตนจึงขอวิงวอนรัฐบาลและผู้ที่รับผิดชอบช่วยพิจารณาดังกล่าวเหล่านี้ด้วย

และปลาบู่ถามอีกว่า อีก 27 ปี พ.ศ.อะไร ? (2544) จะมีเครื่องบินชนตึก, อีก 30 ปี พ.ศ.อะไร ? (2547) จะเกิดคลื่นยักษ์คนจะตายกันมาก, อีก 35 ปี พ.ศ.อะไร ? (2552) จะเกิดแผ่นดินไหวในต่างประเทศ, อีก 38 ปี (2555) จะเกิดอาเพศรุนแรง แผ่นดินไหวรุนแรงเกือบทั่วโลก จะโดนทั้งไทย พม่า ฯลฯ กรุงเทพฯ จมดินจมน้ำ เขื่อนที่จังหวัดตากก็พัง "ในเวลายามสองในคืนปีใหม่ คนไทยฉลองกันสนุกสนาน เกิดแผ่นดินไหวมีคนตายมากมาย" (ยามสอง คือประมาณเวลา 22.00 –24.00 น.) และอีก 40 ปี จะเกิดสงครามนิวเคลียร์!!!

นอกจากนี้ ปลาบู่ยังได้ขอร้องตนว่า ขอให้พ่อยกที่ดินที่สวนศรีมหาโพธิ์ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ให้หนูนะ และขอให้พ่อปลูกต้นโพธิ์ไว้ 200 ต้น หากหนูตายไปแล้วพ่อจะรู้เอง ให้จำปานของหนูไว้ให้ดี หนูจะกลับมาเกิดอีกครั้ง ตัวโตเท่านี้จะบวชเณร ออกธุดงค์มาช่วยพ่อสร้างวัด "สุทัศน์เทพไพฑูรย์" (สวนศรีมหาโพธิ์) พร้อมกับแม่ใหม่ จะมาทำปาฏิหาริย์เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา (ซึ่งต่อไปประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่น ๆ ต่างประเทศจะมาพึ่งพาประเทศไทย และพระพุทธศาสนาจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะเสียหายเพราะภัยพิบัติและการสู้รบจากสงคราม)

โดยที่สวนศรีมหาโพธิ์จะเป็นสถานปฏิบัติธรรมของผู้หญิง และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนชรา (ในยุคที่เกิดความทุกข์ยากเพราะภัยพิบัติ) บนเขาลับแล (โครงการจัดตั้งฯ วัดป่าร่มโพธิ์ศรีฯ) จะเป็นวัดที่อยู่ของพระภิกษุและสามเณร จะมีพระองค์หนึ่งมีบุญบารมีมาก จะมาช่วยพ่อสร้างวัด จะมีคนมาถวายให้สร้างโน่นสร้างนี่จนสร้างไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งในปัจจุบันตนได้สร้างรอลูกชายตามที่สัญญาไว้ว่าจะมาหาทั้งสองที่ และได้เฝ้ารอคอยการกลับมาของบุตรชายในชาติใหม่มาเป็นเวลา 37 ปีแล้ว

ตนได้ฟังหลาย ๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอน ตามเรื่องที่ปลาบู่เล่าเป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว ปัจจุบันนี้ตนอายุ 73 ปีแล้ว เป็นห่วงประเทศชาติ และเชื่อว่าต้องเป็นความจริงตามที่ปลาบู่เล่า เพราะที่ผ่านมาเกิดขึ้นมาหมดแล้ว เหลือแต่เรื่องที่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง...

ที่มา
http://fb.kapook.com/hilight-65424.html

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำทำนายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

คำทำนายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

หลวงพ่อท่านบอกว่า อ่านพบคำทำนายนี้อยู่ในสมุดข่อยที่พระอรหันต์ในอดีตนามว่า "พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนทำนายชะตาบ้านเมืองไว้ ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตก และก่อนที่กรุงเทพฯ จะมีขึ้น!

ตอนหนึ่ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกล่าวว่า

"ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?"

"เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า

พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ องค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้น ก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐ เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็น ผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก"

ท่านก็คงอยากทราบกันนะครับว่า "แล้วหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ทำนายอนาคตบ้านเมืองไว้อย่างไรบ้างหรือเปล่า?"

ก็เห็นมีเขียนเป็นกลอนต่อท้ายไว้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่จากปากหลวงพ่อ เข้าใจว่าผู้รวบรวมธรรมบรรยาย คงนำที่หลวงพ่อทำนายไว้มาเรียบเรียงอีกต่อ ก็ยาวสักหน่อย แต่ผมจะนำที่ท่านร้อยไว้มาดับร้อนยามสังคมแล้ง ดังนี้

คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก
เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย
เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง
น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา
เป็นประชาชนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน
ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร
องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส
แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน
เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง
ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา
ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม
สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป
โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว
ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี
เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ
มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน
พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก
เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย
เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช
ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล
จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศ
ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม
ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง
จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว
ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง

ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง
สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม
หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้

จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป
เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น
แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ.

นาซ่า เผยความจริงเรื่อง"วันสิ้้นโลก2012 "

เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่า (NASA) เปิดเผยถึงข่าวที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วอินเทอร์เน็ตที่ว่า โลกจะถึงคราวสิ้นสุดลงในปี 2012 ด้วยเหตุผลทางดาราศาสตร์ เป็นแค่ "ข่าวลือ" เท่านั้น โดยด็อกเตอร์มอร์ริสัน ระบุว่า อาการ "วิตกจักรวาล" (cosmophobia) ถูกยัดเยียด โดยเว็บไซต์วิทยาศาสตร์ "ปลอม" และ ผู้ที่พยายามจะหาเงิน จากความไม่รู้ของสาธารณชน

ความเชื่อ ที่แพร่กระจายอยู่บนเน็ต ที่ว่า วันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็นวันโลกาวินาศ (doomsday) เนื่องจาก เหตุการณ์บางอย่าง ที่เกิดขึ้นในจักรวาลจะทำลายโลก กลายเป็นเรื่องหลอกลวง โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจาก ด็อกเตอร์เดวิด มอร์ริสัน นักวิทยาศาสตร์นาซ่า ซึ่งข้อสรุปของคำอ้างต่าง ๆ และการโต้ตอบของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องดังกล่าว กำลังได้รับการเผยแพร่โดย สมาคมดาราศาสตร์แห่งภาคพื้นแปซิฟิก

หลายเดือนที่ผ่านมา ทาง นาซ่า และ นักบินอวกาศหลายคน ได้รับจดหมาย และอีเมล์ แสดงความวิกตกังวล จากข่าวสารที่มีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ถึงความเป็นไปได้ที่ โลกจะถึงคราววินาศ และ ความสูญเสียของชีวิตมนุษย์อย่างมากมาย ในปี 2012 เหตผลและเงื่อนไข ที่จะทำให้โลกแตก ได้รับการนำเสนอ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การพุ่งชนของดาวเคราะห์ ชื่อว่า Nibiru จุดดับบนดวงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตำแหน่งใหม่ของการจัดวางศูนย์กลางกาแล็กซี่ และอื่น ๆ อีกสารพัด เดวิด มอร์ริสัน บัญญัติอาการหวาดวิตกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "cosmophobia" ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วโลกในวงกว้าง

ด็อกเตอร์ มอร์ริสัน ผู้เชี่ยวชาญระบบสุริยจักรวาล (solar system) ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก และ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่ เผยแพร่ข่าวสารของนาซ่า บริการ " Ask an Astobiologist " โดยเขาจะตอบคำถามต่าง ๆ ให้กับสาธารณชน ซึ่งเขาได้รับคำถามมากมาย เกี่ยวกับ ปี 2012 โลกาวินาศ จนรู้สึกว่า เขาต้องสืบหาต้นตอ และ ความจริงในเรื่องนี้ ประเด็นที่เขาให้ความสนใจมากที่สุด ในการค้นหา ก็คือ ผู้แพร่กระจายหลายราย เริ่มต้นจากภาพยนต์ " 2012 " โดยการสร้างเว็บไซต์วิทยาศาสตร์ " ปลอม " และ กระตุ้นให้ผู้คนค้นหาคีย์เวิร์ด " 2012 " บนเว็บ ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ค้นพบได้ จะเต็มไปด้วยข้อมูลไร้สาระ และ ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะ ผู้ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับความหายนะ ที่พยายามจะขายหนังสือของพวกเขา

บทความของมอร์ริสัน จะอยู่ในรูปของคำถามและคำตอบ ตามด้วยแนะนำแหล่งข้อมูลวิทยาศาสตร์ ที่ผู้อ่านสามารถค้นหาเกียวกับเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงไม่มีการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดความหายนะ ในปี 2012 มันมีเหตุผลมากมายที่น่ากังวลเกียวกับอนาคตของโลก แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีเหตุผล หรือ กำหนดช่วงเวลาที่โลกจะแตกในปีนั้น ๆ ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่แนะนำ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สิ่งแปลก ๆ หรือ เหตุการณ์ประหลาดต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่โกหกทั้งเพ

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

3 โนเบลฟิสิกส์พบจุดจบเอกภพจะหนาวเหน็บ

3 โนเบลฟิสิกส์พบจุดจบเอกภพจะหนาวเหน็บ

เคยคิดไปไกลถึงจุดจบของเอกภพของเราว่าจะเป็นเช่นไรไหม? บางทีเอกภพอันกว้างใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการเราจะไปถึงอาจพบจุดจบที่ความหนาวเย็นยะเยือก เมื่อพิจารณาตามการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลฟิสิกส์ปีล่าสุด ซึ่งค้นพบว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร่งคงที่ และแม้แต่พวกเขาเองยังแปลกใจต่อการค้นพบดังกล่าว

ข่าวแจกจากเว็บไซต์รางวัลโนเบลระบุว่า เมื่อปี 1998 รากฐานของจักรวาลวิทยาถูกสั่นสะเทือน เนื่องจากการค้นพบของ 2 ทีมวิจัย ทีมหนึ่งนำโดย ซอล เพิร์ลมุตเตอร์ (Saul Perlmutter) ซึ่งได้เริ่มศึกษาวิจัยที่นำมาสู่การค้นพบที่สำคัญตั้งแต่ปี 1988 อีกทีมนำโดย ไบรอัน ชมิดท์ (Brian Schmidt) ที่ได้เริ่มต้นวิจัยในช่วงปลายปี 1994 และ อดัม รีสส์ (Adam Riess) ได้มีบทบาทสำคัญดังกล่าว

ทั้งสามคนเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2011 จากการค้นพบว่าเอกภพของเรากำลังขยายด้วยอัตราเร่งคงที่ จากการศึกษา “ซูเปอร์โนวา” หรือดาวที่เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ซึ่งในคำแถลงของคณะกรรมการรางวัลโนเบลระบุว่าการศึกษาของพวกเขาได้เปลี่ยนความเข้าใจของมนุษยชาติที่มีเอกภพ

ทีมวิจัยทั้งสองได้แข่งกันทำแผ่นที่เอกภพ โดยระบุตำแหน่งของซูเปอร์โนวาที่อยู่ไกลที่สุด และด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่ทรงประสิทธิภาพทั้งบนพื้นโลกและในอวกาศ รวมถึงคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังงานและเซนเซอร์บันทึกภาพดิจิทัลชนิดใหม่ที่เรียกว่า “ซีซีดี” (CCD, อีกผลงานรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2009) เปิดโอกาสให้เราได้พบชิ้นส่วนของปริศนาแห่งจักรวาลอันน่ามึนงงมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990

ชนิดของซูเปอร์โนวาที่ทั้งสองทีมนำมาศึกษาคือชนิด Ia ซึ่งซูเปอร์โนวาชนิดนี้คือการระเบิดของดาวขนาดเล็กที่หนักพอๆ กับดวงอาทิตย์ของเรา แต่มีขนาดเท่าๆ กับโลก และซูเปอร์โนวาหนึ่งสามารถปลดปล่อยแสงออกมาได้มากเท่ากับกาแลกซีทั้งหาแลกซี แต่โดยรวมแล้วพวกเขาพบว่าซูเปอร์โนวาไกลๆ กว่า 50 ซูเปอร์โนวานั้นมีแสงหรี่กว่าที่คาด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการขยายตัวของเอกภพนั้นมีอัตราเร่ง และทั้ง 2 ทีมวิจัยก็ได้ข้อสรุปอันน่าประหลาดใจนี้ตรงกัน

เป็นเวลาเกือบทศวรรษที่นักวิทยาศาสตร์ทราบกันว่าเอกภพกำลังขยายตัว อันเป็นผลต่อเนื่องจากการระเบิดบิกแบง (Big Bang) เมื่อ 1.4 หมื่นล้านปีก่อน แต่การค้นพบว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร่งนั้นเป็นเรื่องชวนให้ตกตะลึง หากการขยายตัวด้วยความเร็วที่มากขึ้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ที่สุดเอกภพจะพบจุดจบที่ความหนาวเย็นยะเยือก โดยเชื่อว่าปัจจัยที่ทำให้เอกภพขยายตัวด้วยอัตราเร่งคือ “พลังงานมืด” (dark energy) ซึ่งเอกภพของเราประกอบด้วยพลังงานมืดมากถึง 3 ใน 4

“การค้นพบนี้ได้ช่วยเปลือยเอกภพที่ยากจะรูถึงขอบเขตอันกว้างขวาง เปรียบเทียบการค้นพบดังกล่าวเหมือนการโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศ แล้วเฝ้ามองลูกบอลนั้นค่อยๆ ลับตาไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่มากขึ้นและมากขึ้น ราวกับว่า แรงโน้มถ่วงไม่มีสามารถดึงลูกบอลกลับมาได้ บางอย่างที่คล้ายๆ กันนี้กำลังเกิดขึ้นในเอกภพของเรา” เอเอฟพีระบุคำอธิบายของคณะกรรมการระหว่างแถลงผลงาน

สำหรับเพิร์ลมุตเตอร์วัย 52 ปี หัวหน้าจากห้องปฏิบัติการเบิร์กเลย์สหรัฐฯ (Berkeley National Laboratory) ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ จะได้รับรางวัลครึ่งหนึ่งของเงินรางวัลทั้งหมด 10 ล้านโครน หรือ กว่า 46 ล้านบาท ส่วนชมิดท์วัย 44 ปี จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University) และ รีสส์ วัย 41 ปี ศาสตราจารย์ดาราศาสตร์และฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) ในบัลติมอร์ แมรีแลนด์ สหรัฐฯ จะแบ่งรางวัลอีกครึ่งที่เหลือร่วมกัน


ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000126448

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เอเลนิน มหันตภัยดาวหางเฉียดโลก

เอเลนิน มหันตภัยดาวหางเฉียดโลก(!?)



หากจะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของดวงดาวและปรากฎการณ์บนโลกแล้ว ต้องยอมรับว่า แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์กันอย่างแน่ชัดว่า ดวงดาวจะมีอิทธิพลต่อปรากฎการณ์ต่าง ๆ บนโลกจริงหรือไม่ แต่นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์หลายคนก็พบว่า หลายครั้งการมาเยือน การโคจรเฉียดโลกของดวงดาวต่าง ๆ ก็เชื่อมโยงกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกได้อย่างน่าฉงน จึงไม่แปลกที่ทุกครั้งที่เกิดปรากฎการณ์ต่าง ๆ ขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด ภัยพิบัติเหล่านี้มักจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับการเคลื่อนที่เข้าใกล้โลกและการเรียงตัวของดวงดาวต่าง ๆ ไปซะทุกครั้ง และมีการเก็บสถิติกันเรื่อยมา

ล่าสุด ประเด็นภัยพิบัติอันเกิดจากการเคลื่อนที่ของดาว ก็ถูกหยิบยกมาพูดคุยกันอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดเผยจากนาซ่าว่า ในระยะเวลาอีกไม่เกิน 2 เดือนข้างหน้านี้ ดาวหางที่มีชื่อว่า C/2010 X หรือที่รู้จักกันว่า เอเลนิน (Elenin) จะโคจรมาเยือนโลกของเราในระยะฉิวเฉียด แถมนักวิทยาศาสตร์สมัครเล่นบางคนยังคำนวณว่ามันจะมีช่วงเรียงตัวของ โลก ดาวหางเอเลนิน ดวงอาทิตย์ และดาวพุธ อีกด้วย บ้างก็ว่าเป็นดาวนิบิรุในตำนานอีกแน่ะ คราวนี้ก็เลยทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา และถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกในขณะนี้ วันนี้ กระปุกดอทคอมจึงขอนำเรื่องราวของดาวหางที่กำลังจะมาเยือนโลกเราดวงนี้มาฝากกันค่ะ

ดาวหาง เอเลนิน เป็นดาวหางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 กิโลเมตร ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 โดยนักดาราศาสตร์ชาวรัสเซียนามว่า ลิโอนิด เอเลนิน ซึ่งถึงแม้ว่าตัวดาวจะเป็นก้อนน้ำแข็งที่มีขนาดเล็กจิ๋วเหมือนละอองฝุ่นเหมือนดาวหางทั่ว ๆ ไป แต่ด้วยความที่มันมี "โคม่า" หรือเมฆฝุ่นและแก๊สปกคลุมอยู่หนามาก ทำให้มันถูกมองเห็นเป็นกลุ่มเมฆขนาดใหญ่มากที่สุดประมาณ 200,000 กิโลเมตร ใหญ่เล็กต่างกันตามตำแหน่งที่มันโคจรไป และเมื่อเมฆฝุ่นและแก๊สตกกระทบกับดวงอาทิตย์แล้ว ก็จะทำให้มันส่องสว่างเด่นชัดขึ้นมาในห้วงจักรวาลอย่างไม่น่าเชื่อ


และหลังจากการค้นพบมันเมื่อปีก่อน นักดาราศาสตร์ก็พบว่ามันมีวิถีโคจรพุ่งตรงมายังโลก และกำลังจะเฉียดโลกในปีนี้ โดยระบุว่าวันที่มันจะโคจรมาเฉียดโลกมากที่สุด คือ วันที่ 16 ตุลาคมนี้ ในระยะห่างประมาณ 35 ล้านกิโลเมตร ส่วนวันที่มันจะเรียงตัวอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ คือวันที่ 26 กันยายนนี้ ซึ่งจากการคาดคะเนดังกล่าว ได้ทำให้วันทั้ง 2 วันนี้ถูกมาร์กไว้ในปฎิทินของใครหลาย ๆ คน ที่รอชมปรากฎการณ์ที่ "อาจจะ" ได้เห็น ขณะที่นักวิทยาศาสตร์สมัครเล่นก็นำมันมาเชื่อมโยงกับปรากฎการณ์บนโลกเช่นเคย ก่อนจะปล่อยข่าวลือฟุ้งกระจายไปทั่วเกี่ยวกับภัยพิบัติใหญ่หลวงที่จะมาพร้อมกับการมาเยือนของดาวหางเอเลนินดวงนี้



ภาพแสดงตำแหน่งดาวหางเอเลนินบนท้องฟ้า



สำหรับข่าวลือที่สร้างความหวาดกลัวให้กับใครหลาย ๆ คนนั้น ก็มีหลากหลายข่าวแตกต่างกันไปตามแต่ใครจะเชื่อ บ้างก็ว่าการมาเยือนของดาวหางเอเลนินดวงนี้จะทำปฏิกิริยากับโลกให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สนามแม่เหล็กโลกเปลี่ยนไปชั่วระยะหนึ่ง และเกิดการแปรปรวนของสภาพอากาศบนโลก บ้างก็ว่าเมื่อดาวหางเอเลนินเรียงตัวกันกับโลกและดวงอาทิตย์แล้ว ดาวหางจะบดบังดวงอาทิตย์จนทำให้โลกมืดไปสามวันสามคืน นั่นคือ วันที่ 26 27 และ 28 กันยายนนี้ บ้างก็ว่าดาวหางเอเลนิน แท้จริงเป็นยานอวกาศจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาต่างดาว บ้างก็ว่าดาวหางเอเลนินนี่แหละที่เป็นดาวเคราะห์เอ็กซ์หรือดาวนิบิรุในตำนาน แต่ถูกเปลี่ยนชื่อตามผู้ค้นพบเมื่อปรากฎขึ้นเท่านั้น และบ้างก็ว่า ดาวเอเลนินเป็นดาวนำร่อง ก่อนที่นิบิรุหรือดาวเคราะห์เอ็กซ์จะโคจรตามมาชนโลกในปี 2012 ซึ่งระบุว่าเป็นวันสิ้นโลกตามปฎิทินมายัน


ข่าวลือหลายกระแสข้างต้นนี้เริ่มแพร่กระจายมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และยิ่งใกล้วันที่ดาวหางเอเลนินกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้โลกขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันไปมากมาย โดยเฉพาะในต่างประเทศ ประเด็นเรื่องดาวหางเอเลนินกำลังเป็นประเด็นที่พูดถึงกันเป็นอย่างมาก จนมีบทความ และมีผู้สร้างแบบจำลองปรากฎการณ์ดาวหางเอเลนินเฉียดโลกขึ้นมามากมายใน Youtube ก่อนที่จะมีคนนำไปคิดต่อยอดกันสารพัดจนทำให้ปรากฎการณ์ดาวหางเอเลนินเฉียดโลก กลายเป็นมหาวิบัติภัยครั้งใหญ่


ส่วนกลุ่มคนที่นิ่งที่สุด และไม่ได้หวั่นวิตกถึงการมาเยือนของเอเลนินในครั้งนี้ กลับเป็นเหล่านักดาราศาสตร์และองค์การนาซ่า ซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง โดยล่าสุด ทางนาซ่าได้ออกมาเปิดเผยกันสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า แค่ปรากฎการณ์ดาวหางขนาดเล็กจิ๋วเฉียดโลกนั้น มันจะกลายเป็นเรื่องที่น่าวิตกได้อย่างไร เมื่อเอเลนินดวงนี้เปรียบเสมือนดาวเด็กน้อยที่อ่อนแอมากดวงหนึ่ง ที่ไม่ได้มีพละกำลังใด ๆ และยังพุ่งตัวฉิวเฉียดโลกในระยะห่างตั้ง 35 ล้านกิโลเมตร ซึ่งห่างกว่าดวงจันทร์ของเราถึง 90 เท่า


ภาพแสดงการโคจรของโลกและดาวหางเอเลนิน



ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะมีพลังทำลายล้างหรือส่งผลกระทบใด ๆ กับโลกของเรา และที่สำคัญ คือดาวหางขนาดเท่าเม็ดฝุ่นจักรวาลนั้น จะไม่สามารถบดบังดวงอาทิตย์ได้เลย แม้ว่าจะโคจรมาเรียงตัวกันตรงกลางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์นานแค่ไหน กลับกันตัวมันเองที่ปกคลุมไปด้วยเมฆฝุ่นและแก๊สนั้น ก็คงจะอันตรธานหายไปทันทีที่แสงอาทิตย์พาดผ่านมายังโลก และแน่นอนว่าจะไม่มีใครมองเห็นมันได้ในตอนกลางวันเลยด้วยซ้ำ ส่วนตอนกลางคืน นักดูดาว และคนบนโลกก็อาจจะมีลุ้นได้นั่งชมความงามของดาวหางที่พาดหางยาวสวย และฝนดาวตกเท่านั้นเอง


อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่านาซ่าจะออกมาเปิดเผยกระจ่างแจ้งอย่างนั้นแล้ว ก็ยังไม่วายมีกระแสข่าวออกมาว่านาซ่ากลัวคนแตกตื่นเลยไม่อยากจะบอกความจริงให้โลกรู้อยู่ดี เอ้า! คราวนี้ ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนแล้วล่ะว่า ระหว่างนาซ่ากับนักวิทยาศาสตร์(สมัครเล่น)ทั้งหลายนั้น คุณจะเชื่อใคร?




คลิป จำลองปรากฎการณ์ดาวหางเอเลนินเฉียดโลก

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/61959

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

21 พฤษภาคม วันสิ้นโลก

ต่างประเทศตื่นข่าว 21 พฤษภาคม วันสิ้นโลก

ต่างประเทศตื่นข่าววันสิ้นโลก 21 พฤษภาคม ตามคำทำนายฮาโรลด์ แคมปิง เผยแถบวงแหวนแห่งไฟเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง แต่ไม่มีรายงานความเสียหาย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประชาชนหลายคนต่างพากันตื่นตกใจกับกระแสข่าววันสิ้นโลก หลังจาก นายฮาโรลด์ แคมปิง ประธานสมาคมแฟมิลี เรดิโอ ซึ่งเป็นชุมชนผู้ยึดถือหลักความเชื่อดั้งเดิมของคริสต์ศาสนา ออกมาระบุว่า เขาได้ถอดรหัสคณิตศาสตร์จากคัมภีร์ไบเบิล แล้วพบว่า ในวันที่ 21 พฤษภาคมนี้จะเป็นวันสิ้นโลก

โดยเครือข่ายวิทยุคริสเตียน ในสหรัฐอเมริกา ได้ออกประกาศเตือนด้วยว่า ในวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ เวลา 18.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงนิวยอร์ก จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ตามคำทำนายของพระผู้เป็นเจ้าที่เตือนว่าจะเกิดเหตุร้าย นำมาซึ่งความเสียหายอันใหญ่หลวงในวันนี้

ส่วนที่นิวซีแลนด์ สื่อมวลชนให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากได้รับการคาดหมายว่า หากคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกเป็นจริง ประเทศนิวซีแลนด์อาจเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นเป็นที่แรก ๆ ของโลก แต่ทว่าประชาชนเองกลับไม่ได้สนใจข่าวนี้สักเท่าไหร่ โดยองค์กรคริสเตียนในนิวซีแลนด์ได้เขียนข้อความในเว็บไซต์ของตัวเองว่า "อย่าขายบ้าน อย่าบริจาคเงิน อย่าหยุดจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ อย่าพูดอะไรที่จะทำร้ายครอบครัวและเพื่อนฝูง อย่าลาออกจากงาน และอย่าทิ้งคนที่คุณรัก"

ขณะที่ในประเทศไทยเอง ประชาชนชาวลำปางก็ยังหวาดผวากับข่าววันสิ้นโลกเช่นเดียวกัน โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในถนนหลายสายภายในจังหวัดลำปางเป็นไปอย่างเงียบเหงา ไม่ค่อยคึกคักมากนักทั้งที่เป็นวันหยุดเสาร์- อาทิตย์ และช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ฝนในพื้นที่ลำปางก็ตกหนักหลายแห่ง และยังเกิดเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก ทำให้ประชาชนหลายรายหวาดหวาอยู่แต่ในบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหน ทั้งนี้ ประชาชนชาวบ้านในพื้นที่ ก็บอกว่า รอให้พ้นผ่านคืนนี้ไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางไปทำธุระ หรือไปเที่ยวตามจุดต่าง ๆ

ขณะเดียวกันสำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาดปานกลางในบริเวณวงแหวนแห่งไฟถึง 5 แห่ง ไล่มาตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.8 ริกเตอร์ที่ปาปัวนิวกินี ตามมาด้วยแผ่นดินไหวขนาด 4.6 ริกเตอร์ ที่ฝั่งตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย และที่ตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ก็ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.5 ริกเตอร์

เช่นเดียวกับที่ประเทศญี่ปุ่น บริเวณใกล้ชายฝั่งฮอนชู ก็ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.6 ริกเตอร์เช่นกัน ตามมาด้วยแผ่นดินไหวขนาด 4.9 ริกเตอร์ที่ทางตอนใต้ของหมู่เกาะฟิจิ นอกจากนั้น ยังได้เกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กประปรายในพื้นที่ทวีปอเมริกา แต่ไม่มีรายงานความเสียหายใด ๆ



[18 พฤษภาคม] ชายอเมริกัน ควักเงิน 4 ล้าน แพร่คำทำนายโลกแตก
ฮือฮา! โรเบิร์ต ฟิตซ์แพทริค เฒ่าอเมริกันวัน 60 ปี ควักเงินส่วนตัวกว่า 4 ล้านบาท ทำป้ายโฆษณาเผยแพร่คำนายของตัวเอง ว่าโลกจะแตก ในวันที่ 21 พ.ค. นี้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ได้มีชายวัยชรารายหนึ่งในมหานครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา ได้ยอมเอาเงินเก็บของตัวเองที่จะใช้ในช่วงบั้นปลายชีวิต จำนวน 140,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4 ล้านบาท) เพื่อทำป้ายโฆษณา เผยแพร่คำทำนายของตัวเอง ที่ระบุว่าโลก จะแตกในวันที่ 21 พ.ค. นี้ ให้กับประชาชนทั่วไปได้รับรู้ และเพื่อเป็นการเตือนให้มีการเตรียมพร้อมรับมือ

รายงานข่าวระบุว่า ชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า โรเบิร์ต ฟิตซ์แพทริค วัย 60 ปี โดยได้ทำป้ายโฆษณากว่า 1,000 ชิ้น ติดไว้ตามสถานีรถไฟใต้ดิน และป้ายรถเมล์เพื่อเตือนประชาชนถึงวันสิ้นโลกในวันที่ 21 พ.ค. นี้ ตามคำทำนายของตนเอง

นอกจากนี้ ฟิตซ์แพทริค ได้ยืนยันว่า ในวันดังกล่าว จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่นิวยอร์กซึ่งจะเป็นแผ่นดินไหว ที่จะทำให้โลกถึงคราวแตกดับ และในวันดังกล่าว เป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้าจะยุติการช่วยเหลือมนุษยชาติด้วย



[13 พฤษภาคม] เจ้าลัทธิถอดรหัสไบเบิล ทำนาย 21พ.ค. วันสิ้นโลก
สมาคมศาสนาจากสหรัฐเดินทางมาเผยแพร่คำเตือนวันสิ้นโลกบนถนนกรุงมะนิลา หลังเจ้าลัทธิเทศน์ว่าจุดจบของโลกกำลังจะมาถึงในวันที่ 21 พฤษภาคม 2554 หลังพระอาทิตย์ตกดิน

อาสาสมัครจากสมาคมศาสนาแฟมิลีเรดิโอ ซึ่งเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุคริสเตียนในสหรัฐ เดินแจกจ่ายใบปลิวให้แก่ประชาชนบนถนนสายหลัก เพื่อเผยแพร่คำทำนายวันสิ้นโลกตามคติความเชื่อชาวคริสต์

ฮาโรลด์ แคมปิง ประธานสมาคมแฟมิลีเรดิโอทำนายว่า วันที่ 21 พฤษภาคมปีนี้จะเป็นวันสิ้นโลก โดยการคำนวณทางคณิตศาสตร์ผ่านการถอดรหัสคติน้ำท่วมโลกในคัมภีร์ไบเบิล เขาเชื่อว่าพระเจ้าส่งสัญญาณเตือนวันสิ้นโลกผ่านพระคัมภีร์และตัวเขามี หน้าที่ถอดรหัสออกมา

เคนจิ ฮอฟฟ์แมน อาสาสมัครของสมาคมได้ละทิ้งครอบครัวและงานวิศวกรในสหรัฐมาเข้ากลุ่มแฟมิลี เรดิโอ อีกทั้งใช้เงินออมของตนเดินทางมาฟิลิปปินส์ เขากล่าวว่า "พระองค์ทรงเตือนอับบราฮัม โนอาห์ และโลต รวมทั้งชาวนิเนเวห์ ดังนั้นพระองค์ให้สัญญาณเตือนถึงการมาถึงของพระองค์"

อย่างไรก็ตาม แคมปิงเคยทำนายผิดพลาดว่าโลกจะแตกในปี 2537 และคราวนี้แคมปิงยืนยันว่าการคำนวณครั้งใหม่ทำนายว่าโลกจะถึงจุดจบในปีนี้ อย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี แม้ชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่จะเป็นชาวคริสต์ แต่น้อยคนจะให้ความสนใจกับคำทำนายวันสิ้นโลกนี้

เจราร์โด ลานูซา อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์ด้านสังคมวิทยาศาสนา กล่าวว่า กลุ่มลัทธิวันสิ้นโลกมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก เขาชี้ว่ากลุ่มลัทธิแนวนี้ให้ความมั่นคงแก่ผู้ศรัทธา ด้วยการนำเอาคำสอนวันสิ้นโลกมาใช้พร้อมทั้งแนะนำว่าควรทำเช่นไร เปรียบเสมือนการโน้มน้าวให้ผู้คนเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเอง


วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

ตื่น! ลูกปู-ลูกกุ้ง เกยตื้นหาดกะรน คนผวาภัยธรรมชาติ

คนภูเก็ตตื่น! ลูกปูกุ้งนับล้านตัวเกยตื้นตามแนวหาดกะรน หวั่นเป็นสัญญาณเตือนภัยธรรมชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (22 เมษายน) ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ริมหาดกะรน จังหวัดภูเก็ต พากันตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก หลังพบลูกปู ลูกกุ้งขนาดเล็กนับล้านตัวถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกยตื้นแนวชายหาดกะรนที่มีความยาวกว่า 4 กิโลมเตร ที่ตำบลกะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต โดยชาวบ้านส่วนใหญ่หวั่นเกรงว่า นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าจะเกิดเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้มาก่อนในรอบ 30 ปี

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การที่ลูกปูนับล้านตัวเกยตื้นที่หาดกะรนครั้งนี้ ในมุมมองของนักวิชาการถือว่าเป็นเรื่องที่แปลก ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิกระแสน้ำกะทันหัน แต่ยืนยันว่าไม่ใช่สัญญาณเตือนภัยว่าจะเกิดแผ่นดินไหว หรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีที่ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน

ด้านนายวรรณเกียรติ ทับทิมแสง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กล่าวว่า สัตว์ทะเลที่เกยตื้นหาดกะรนเป็นตัวอ่อนของปูชายฝั่ง อายุประมาณ 20-30 วัน แต่ยังไม่ทราบสาเหตุว่า ทำไมตัวอ่อนของลูกปูถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนภัยอะไร จึงขอให้ชาวบ้านไม่ต้องตื่นตระหนก


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/58182

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

วงแหวนแห่งไฟ หายนะแห่งภัยธรรมชาติ


วงแหวนแห่งไฟ หายนะแห่งภัยธรรมชาติ


หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ พร้อมกับสึนามิที่สูงขนาด 10 เมตร ถาโถมใส่เมืองชายฝั่งของประเทศญี่ปุ่นจนราบเป็นหน้ากลอง เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ก็ได้สร้างความเสียหายอันประเมินค่ามิได้ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นเอง จะเป็นประเทศที่มีระบบ และการเตรียมพร้อมรับมือการเกิดแผ่นดินไหว หรือสึนามิที่ดีที่สุดในโลกแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถพ้นภัยพิบัติธรรมชาติอันโหดร้ายครั้งนี้ไปได้

ทันทีที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หลายคนหยิบเอาเรื่องที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ใน "วงแหวนแห่งไฟ" ขึ้นมาพูด และยิ่งได้ทราบข้อมูลว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวกว่า 90% ทั่วโลก เกิดใน "วงแหวนแห่งไฟ" ก็ยิ่งทำให้คนสนใจว่า "วงแหวนแห่งไฟ" คืออะไร และมีประเทศใดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ขออาสามาไขข้อข้องใจให้ฟังกันค่ะ

สึนามิ ญี่ปุ่น



วงแหวนแห่งไฟ


สำหรับ "วงแหวนแห่งไฟ" หรือที่เรียกว่า "Pacific Ring of Fire" หรือ "The Ring of fire" นั้น หมายถึงบริเวณในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เกิดแผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง มีลักษณะเป็นเส้นเกือกม้า มีความยาวประมาณ 40,000 กิโลเมตร วางตัวพาดผ่านแนวร่องมหาสมุทร แนวภูเขาไฟ และขอบแผ่นเปลือกโลก ไล่ไปตั้งแต่ทวีปออสเตรเลีย ทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้ มีประเทศที่อยู่ในพื้นที่ "วงแหวนแห่งไฟ" ทั้งหมด 31 ประเทศ ได้แก่

เบลีซ
โบลิเวีย
บราซิล
แคนาดา
โคลัมเบีย
ชิลี
คอสตาริกา
เอกวาดอร์
ติมอร์ตะวันออก
เอลซัลวาดอร์
ไมโครนีเซีย
ฟิจิ
กัวเตมาลา
ฮอนดูรัส
อินโดนีเซีย
ญี่ปุ่น
คิริบาตี
เม็กซิโก
นิวซีแลนด์
นิการากัว
ปาเลา
ปาปัวนิวกินี
ปานามา
เปรู
ฟิลิปปินส์
รัสเซีย
ซามัว
หมู่เกาะโซโลมอน
ตองกา
ตูวาลู
สหรัฐอเมริกา


การกำเนิดของ "วงแหวนแห่งไฟ" นั้น สืบเนื่องมาจากแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่มาชนกัน และมุดตัวซ้อนกันในแต่ละทวีปเมื่อหลายล้านปีก่อน คือ

- แผ่นนาซคา ชนกับแผ่นอเมริกาใต้ กลายเป็นเทือกเขาแอนดีส และทำให้เกิดภูเขาไฟหลายแห่ง เช่น ภูเขาไฟโกโตปักซี ประเทศเอกวาดอร์

- แผ่นโคคอสในอเมริกากลาง ชนกับแผ่นอเมริกาเหนือ

- แผ่นฮวนดีฟูกา และแผ่นกอร์ดามุดตัวลงในแผ่นอเมริกาเหนือ และบริติช โคลัมเบีย บริเวณเกิดภูเขาไฟเซนต์ เฮเลนส์ ในสหรัฐอเมริกา และครั้งล่าสุดระเบิดไปเมื่อปี ค.ศ.1980

- ทางตอนเหนือที่ติดกับทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นแปซิฟิก มุดตัวลงใต้บริเวณเกาะเอลูเชียนจนถึงทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณนี้จึงเกิดภูเขาไฟฟูจิที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

- ทางตอนใต้มีแผ่นเปลือกโลก ขนาดเล็กมากมายติดกับแผ่นแปซิฟิก ทำให้เกิดภูเขาไฟทั้งในนิวกินี ไมโครนีเซียน

นอกจากนี้ "วงแหวนแห่งไฟ" ยังมีแนวต่อไปยังแนวอัลไพน์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวที่มีการเกิดแผ่นดินไหวด้วย โดยมีจุดเริ่มต้นจากเกาะชวา และเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย โดยการชนและมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกนี้เอง ทำให้บริเวณ "วงแหวนแห่งไฟ" นี้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดในโลก คิดเป็น 90% ของเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้นในโลก และยังคิดเป็น 80% ของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นด้วย ดังเช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองไครส์เชิร์ต ประเทศนิวซีแลนด์ ตามมาด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ล้วนเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแนว "วงแหวนแห่งไฟ" เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาข้อมูลเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก ก็จะพบว่า ล้วนเกิดในบริเวณ "วงแหวนแห่งไฟ" แทบทั้งสิ้น โดยเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ใหญ่ที่สุดในโลก 5 อันดับแรกได้แก่

อันดับที่ 1 : 22 พฤษภาคม ค.ศ.1960 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.5 ริกเตอร์ ที่เมือง Valdivia ประเทศชิลี

อันดับที่ 2 : 27 มีนาคม ค.ศ.1964 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.2 ริกเตอร์ ที่อลาสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา

อันดับที่ 3 : 26 ธันวาคม ค.ศ.2004 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.1 ริกเตอร์ ที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งครั้งนี้ทำให้เกิดคลื่นสึนามิกระทบมายังประเทศไทย จนมีผู้เสียชีวิตหลายพันคนในประเทศไทย ขณะที่มีผู้เสียชีวิตจากประเทศที่ได้รับผลกระทบรวมกว่า 230,000 คน

อันดับที่ 4 : 4 พฤศจิกายน ค.ศ.1952 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ ที่ KamChatka ประเทศรัสเซีย

อันดับที่ 5 : 11 มีนาคม ค.ศ.2011 เกิดแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ ที่เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่พัดถล่มประเทศญี่ปุ่นเสียหายเป็นจำนวนมาก



แผนที่แสดงที่ตั้งภูเขาไฟทั่วโลก


ขณะเดียวกัน นอกจาก "วงแหวนแห่งไฟ" จะเป็นแนวที่เกิดแผ่นดินไหวจำนวนมากแล้ว ยังเป็นแนวของ "ภูเขาไฟ" ด้วย โดยบริเวณนี้มี "ภูเขาไฟ" ตั้งอยู่ถึง 452 ลูก และคิดเป็น 75% ของภูเขาไฟทั่วโลกที่ยังคุกรุ่นอยู่ โดยภูเขาไฟที่ตั้งอยู่แนวนี้และมีชื่อเสียง เช่น ภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น , ภูเขาไฟวิลลาร์ริกา ประเทศชิลี , ภูเขาไฟเซนต์เฮเลนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ,ภูเขาไฟพินาตูโบ ภูเขาไฟมายอน ในประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งภูเขาไฟเมราปี ในประเทศอินโดนีเซียด้วย

และนี่ก็คือเรื่องราวของ "วงแหวนแห่งไฟ" หรือ "Ring of Fire" ที่เคยสร้างภัยพิบัติให้มนุษย์โลกมาแล้วหลายต่อหลายครา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังทรงพลังที่จะสร้างความหายนะจากภัยธรรมชาติให้กับมนุษย์ต่อไปอีกเรื่อย ๆ

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/57074

แกนโลกเคลื่อน ความหวั่นวิตกของอนาคตที่ควรรู้



‘แกนโลกเคลื่อน’ ความหวั่นวิตกของอนาคตที่ควรรู้...

หมู่เกาะโซโลมอน 7.1 ริกเตอร์ (3 มกราคม 2553) เฮติ 7.0 ริกเตอร์ (12 มกราคม 2553) ปาปัวนิวกินี 6.2 ริกเตอร์ (1 กุมภาพันธ์ 2553) แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 5.9 ริกเตอร์ (4 กุมภาพันธ์ 2553) เกาะริวกิว ญี่ปุ่น 7.0 ริกเตอร์ (26 กุมภาพันธ์ 2553) ชิลี 8.8 ริกเตอร์ (27 กุมภาพันธ์ 2553) ไต้หวัน 6.4 ริกเตอร์ (4 มีนาคม 2553) นี่คือเหตุการณ์การเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เมื่อไม่นานบนโลกนี้ และอีกหลายประเทศทางใต้ของประเทศไทยอย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ก็ยังคงเกิดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง...

ล่าสุดบ่ายวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 ในขณะที่ทุกคนบนโลกใช้ชีวิตตามปกติ ก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาเยือนโลกใบนี้อีกครั้ง สถานที่เกิดเหตุห่างจากจังหวัดมิยากิ หมู่เกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น 130 กิโลเมตร และห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 380 กิโลเมตร

แรงสั่นสะเทือนจากการเกิดแผ่นดินไหว 9 ริกเตอร์ ส่งผลกระทบทำให้เกิดคลื่นยักษ์หรือสึนามิสูงกว่า 10 เมตร ซัดถล่มบริเวณพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดมิยากิได้รับความเสียหายรุนแรงในรอบ 140 ปี ถึงขนาดทำให้เกาะฮอนชูเขยื้อน 8 ฟุต และทำให้แกนโลกเคลื่อน 10 กว่าเซนติเมตร (ซึ่งเป็นแกนโลกสมมติ) เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินชาวญี่ปุ่นอย่างมหาศาล

หลายสมมติฐานตั้งข้อสังเกตว่า หากแกนโลกเคลื่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ทั้งอากาศ เวลา และอื่นๆ ไปดูกันว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเขาได้คาดการณ์ไว้ว่าอย่างไรบ้าง




แกนโลกเคลื่อนเรื่อยๆ อยู่แล้ว

เบนจามิน ฟง เจา นักวิทยาศาสตร์แห่งศูนย์เที่ยวบินอวกาศ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (นาซา) กล่าวไว้ว่า ผลกระทบจากแผ่นดินไหวรุนแรงในประเทศชิลีเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553 ทำให้แกนของโลกเอียงไปจากตำแหน่งเดิม แม้จะไม่สำคัญเท่าใดนัก แต่ก็เปลี่ยนไปจากตำแหน่งเดิมอย่างถาวร

แล้วยังส่งผลให้ระยะเวลาในหนึ่งวันสั้นหรือช้าลงไป 1.26 ไมโครวินาที (1 ไมโครวินาที เท่ากับ 1 ในล้านวินาที)

และแผ่นดินไหวที่ชิลี 8.8 ริกเตอร์ ทำให้แกนโลกเอียงไป 8 เซนติเมตร จึงทำให้โลกร้อนเพิ่มขึ้นและโลกหนาวเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น

ผลที่ตามมาก็คือชายฝั่งทะเลทั่วโลกจมน้ำเพิ่มขึ้นทุกปี ฝนตกมากนานผิดปกติในแต่ละพื้นที่ ดินบนภูเขาพังทลายทับหมู่บ้าน และน้ำท่วมนานนับเดือน เพราะน้ำทะเลเอ่อสูงดันน้ำในแม่น้ำไว้

ซึ่งก่อนและหลังจากแผ่นดินไหว ก็มีเหตุธรรมชาติที่เกิดมาแล้วทั่วโลก ที่เป็นสิ่งบ่งชี้หรือว่าเตือนมนุษย์โลกแล้ว นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า แกนโลกจะเอียงหนึ่งครั้งในทุก 40,000 ปีเศษๆ

หากแกนโลกพลิก

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนของแกนโลก หากเคลื่อนไปมากจนเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิกตัว ซึ่งทางองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซา (National Aeronautics and Space Administration - NASA) (นาซา)เคยนำคำพูดที่น่ากลัวมากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วโลก จะทำให้คุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงดังต่อไปนี้

- ระบบอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

- เกิดการอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

- ทำให้เกิดภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

- สนามแม่เหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น

- แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ทั้งนี้ทั้งนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เมื่อแกนโลกเกิดการพลิกตัว

อาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ แต่ไม่ครบถ้วน จะสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและความหวั่นวิตกโดยไม่จำเป็น กรณีแผ่นดินไหว 9 ริกเตอร์ที่ประเทศญี่ปุ่น ติดตามด้วยข่าวแกนโลกเคลื่อนที่สร้างความอยากรู้อยากเห็นและความหวั่นวิตกได้อย่างมีสีสัน

แต่ จันทร์เพ็ญ ศิลาวงศ์สวัสดิ์ อาจารย์ด้านธรณีฟิสิกส์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้

“เพราะถ้ามันเปลี่ยน ตำแหน่งดาวต่างๆ ที่เราเห็นในตอนกลางคืน เราจะไม่เห็นมันอยู่ในตำแหน่งเดิม เพราะมุมแกนโลกมันอ้างอิงกับระบบนอกโลก เงาของดวงอาทิตย์ในแต่ละฤดูกาลก็จะเปลี่ยนไป สุริยวิถีก็จะเปลี่ยน ที่เราจะเห็นคือ เงาของดวงอาทิตย์จะไม่คงอยู่ที่เดิม เพราะเราจะใช้วิธีการดูเงาบอกเวลามาตั้งแต่สมัยก่อน”

ไม่ใช่แค่นั้น ถ้าแกนโลกเคลื่อนจริงตามตัวเลขที่เป็นข่าว ฤดูกาล การขึ้น-ลงของน้ำจะเปลี่ยนไปทันที และนั่นอาจหมายถึงหายนะของโลกไปแล้ว อาจารย์จันทร์เพ็ญ อธิบายต่อว่า

“การเกิดแผ่นดินไหวจะเกิดที่เปลือกโลก การเปลี่ยนแปลงจะเกิดที่เปลือกโลก ไม่ได้กระทบไปถึงตำแหน่งการวางตัวของโลกในระบบใหญ่ คือมันเป็นไปได้ยากมาก และก็มีข่าวทำนองนี้ออกมาหลายครั้ง ตั้งแต่แผ่นดินไหวที่เฮติว่าเคลื่อนเป็น 10 องศา ซึ่งมันมหาศาลเลยนะคะ ผลกระทบเยอะมาก คุยๆ กันในหมู่อาจารย์ก็พูดกันว่าเป็นไปไม่ได้”

ถามว่าจะมีอะไรทำให้แกนโลกเคลื่อนได้ อาจารย์จันทร์เพ็ญบอกว่า ต้องใช้พลังงานที่มากกว่าแผ่นดินไหว เช่น การพุ่งชนของอุกาบาตจากนอกโลก เนื่องจากวัตถุที่มีการหมุนจะมีสมดุลของมันอยู่ การจะทำให้เสียสมดุลจะต้องมาจากภายนอก ถ้าอยู่ข้างในจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนที่ของตัวมันเอง

ส่วนข้อมูลที่มักได้ยินว่า โดยปกติแกนโลกก็เคลื่อนอยู่แล้วตามธรรมชาติ ก็น่าจะเป็นความเข้าใจสับสนระหว่างแกนโลกกับแกนแม่เหล็กโลก

“ข่าวที่ว่าแกนโลกมีการเคลื่อนอยู่ตลอด จริงๆ แล้วคือแกนแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก ซึ่งเกิดจากโลหะเหลวภายในโลก ภายใต้อุณหภูมิสูงๆ ในเปลือกโลกและมีการไหลวน ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและผลิตสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมา โดยปกติแล้วมันจะกลับทิศของขั้วเหนือ-ใต้อยู่บ้าง ซึ่งปัจจุบันนี้มันก็ไม่ตรงกับแกนหมุนของโลก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้แกนแม่เหล็กเคลื่อนอาจจะเป็นสาเหตุเดียวกับที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว เพราะการที่เปลือกโลกมันเคลื่อนเนื่องจากมีการไหลวนของของเหลวภายในเปลือกโลก”

เช่นเดียวกันกับ วรวุฒิ ตันติวนิช อดีตผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี ที่อธิบายถึงข้อมูลที่หลายคนเข้าใจว่า แกนโลกนั้นเคลื่อนที่ จริงๆ เป็นความเข้าใจผิด เพราะที่เคลื่อนคือแกนโลกสมมติต่างหาก

"เรื่องแกนโลกที่ทำให้โลกหมุนกับแกนโลกสมมตินี้ มันเป็นคนละเรื่องกัน เพราะแกนโลกสมมติได้มาจากการใช้ดาวเทียมจีพีเอส เพื่อคำนวณหารูปทรงของโลก เพราะฉะนั้น ถ้ามันเปลี่ยนไปนิดเดียวก็ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเลย ขณะที่แกนโลกจริง มันต้องเอียงอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่เอียงก็ไม่มีฤดู

"แต่สาเหตุที่เขาต้องประกาศออกมา เพราะถ้าอะไรมันเคลื่อนไปนิดหนึ่ง ก็จะทำให้สมมาตรของโลก ซึ่งภาษา’รางวัด’ ของ เรียกว่า จิออย มันเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเวลาที่แผ่นดินไหว เปลือกโลกมันเคลื่อน น้ำหนักมันเคลื่อน ขยับตัวไป ลักษณะภูมิประเทศมันเปลี่ยนไป ก็ทำให้แกนโลกสมมตินี้ขยับไปนิดหนึ่ง แล้วที่สำคัญแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ทุกครั้ง นาซาจะต้องคำนวณว่า แกนโลกสมมติเปลี่ยนไปอย่างไร เพื่อจะปรับตัวจิออย จะได้อ่านค่าจีพีเอสได้เหมือนเดิม"



ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแกนโลกสมมติหรือแกนโลกจริงจะเอียงหรือเคลื่อนที่ไปเท่าไหร่แล้ว แต่ความเป็นจริงในตอนนี้ก็คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าหวาดกลัวของเหล่ามนุษยชาติได้เกิดขึ้นจริง และเราก็ได้เห็นกันบ่อยๆ แล้ว ซึ่งนอกจากจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงแล้วยังเกิดขึ้นในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น ‘2012 วันสิ้นโลก’ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว หรือสึนามิ หรือภาพยนตร์ไทยเรื่อง ‘2022 Tsunami สึนามิ วันโลกสังหาร’ นั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ก็เตรียมตัวและเตรียมใจรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ที่เรียกว่า 'ภัยธรรมชาติ' ไว้แล้วเสมอ แล้วคุณล่ะเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติที่เริ่มผิดปกติที่กำลังคืบคลานมาเยี่ยมคุณและครอบครัวในทุกๆ ฤดูกาลนี้อย่างไรบ้าง


ที่มา
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000034633

หมั่นทำดีมากๆ คุณจะรอดเอง

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันที่ 19 มีนาคม นี้ จะเกิดภัยร้ายแรงที่เกินคาดเดา


จริงหรือที่ว่า...วันที่ 19 มีนาคม นี้ จะเกิดภัยร้ายแรงที่เกินคาดเดา

ในวันพระจันทร์เต็มดวง หากเราได้แหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ใครหลาย ๆ คนก็คงจะชื่นชอบภาพดวงจันทร์ดวงกลมส่องสว่างตรงหน้าจนเผลอชื่นชมมันอยู่นานสองนาน แต่สำหรับในสัปดาห์หน้านี้ ดูเหมือนว่าคนที่ชอบมองพระจันทร์เต็มดวงอาจจะต้องใช้เวลาชื่นชมกับความงดงามของมันมากกว่าเดิมสักหน่อย เมื่อปรากฎการณ์ดวงจันทร์โคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 19 ปี กำลังจะอุบัติขึ้นในค่ำคืนวันที่ 19 มีนาคมนี้

เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในค่ำคืนวันที่ 19 มีนาคมที่จะถึงนี้ คนบนโลกจะได้เห็นปรากฎการณ์ "ซูเปอร์มูน" หรือดวงจันทร์ดวงใหญ่ เนื่องจากเป็นค่ำคืนที่ดวงจันทร์จะโคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 19 ปี โดยคาดว่ามันจะโคจรห่างจากโลกเพียง 356,577 กิโลเมตรเท่านั้น จากปกติที่โคจรในระยะห่างเฉลี่ย 384,400 กิโลเมตร ประจวบเหมาะกับค่ำคืนนั้น ยังเป็นค่ำคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงอีกด้วย ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าว จะส่งผลให้คนบนโลกเห็นดวงจันทร์ดวงใหญ่กว่าดวงจันทร์เต็มดวงที่เคยเห็นถึง 14% และดวงจันทร์ก็จะส่องสว่างกว่าค่ำคืนดวงจันทร์เต็มดวงทั่วไปถึง 30% นอกจากนี้ มันยังส่งผลให้โลกเกิดน้ำขึ้นน้ำลงมากกว่าปกติ กล่าวคือ ระยะเวลาที่น้ำขึ้นก็ขึ้นสูงมาก ขณะที่เมื่อน้ำลง น้ำก็จะลดลงมากกว่าปกติเช่นกัน

ถึงแม้ว่าปรากฎการณ์ ซูเปอร์มูน จะทำให้ค่ำคืนวันที่ 19 มีนาคมเป็นค่ำคืนที่งดงามสว่างไสวกว่าทุก ๆ คืนอย่างไร แต่ผู้คนในหลายพื้นที่ทั่วโลก กลับไม่อยากให้ค่ำคืนนั้นมาถึง ด้วยความเชื่อที่ว่า เมื่อดวงจันทร์โคจรเข้าใกล้โลกในระยะที่ใกล้ผิดปกติ แรงดึงดูดของมันอาจจะส่งผลให้เกิดหายนะบางอย่างขึ้นบนโลกเช่นกัน โดยในขณะนี้ ประเด็นเรื่องดวงจันทร์ในคืน 19 มีนาคม กำลังถูกพูดถึงกันในวงกว้าง หลังจากมีข่าวลือออกมาว่า การที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าใกล้โลกครั้งนี้ อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหว พายุพัดถล่ม สึนามิ หรือภูเขาไฟระเบิดก็เป็นได้ เหมือนกับที่มันได้เคยเกิดขึ้นค่ำคืนซูเปอร์มูนหลายครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ พบว่า ในปี ค.ศ.1955, 1974, 1992 และ 2005 ได้เคยปรากฎการณ์ซูเปอร์มูนมาแล้ว และในปีดังกล่าวก็มีภัยพิบัติ และสภาพอากาศที่เลวร้ายเกิดขึ้นบนโลกในช่วงที่เกิดปรากฎการณ์ซูเปอร์มูนพอดี

จากรายงานภัยพิบัติระบุว่า ในปี ค.ศ.1938 พายุเฮอริเคนได้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับซูเปอร์มูน, ในปี ค.ศ.1955 ได้เกิดน้ำท่วมในฮันเตอร์วัลเลย์ ในออสเตรเลียในช่วงซูเปอร์มูนเช่นกัน และในปี ค.ศ.1974 ซูเปอร์มูนก็เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับพายุไซโคลนเทรซี่ ที่สร้างความเสียหายมหาศาลในเมืองดาร์วิน ออสเตรเลีย ส่วนในปี ค.ศ.2005 ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์ซูเปอร์มูนเพียงไม่กี่วัน ก็มีเหตุการณ์สึนามิเกิดขึ้นในอินโดนีเซีย คร่าชีวิตผู้คนหลายหมื่นคนไปในช่วงเวลานั้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าว ทำให้หลายคนเชื่อว่า มันมีความเป็นไปได้ที่การเกิดซูเปอร์มูนในสัปดาห์หน้านี้จะมาพร้อมกับภัยพิบัติบางอย่างเช่นกัน

และนอกจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเป็นไปได้ของการเกิดภัยพิบัติในช่วงซูเปอร์มูนมีมากขึ้นไปอีก นั่นคือ เคน ริง นักโหราศาสตร์เจ้าของฉายา "มูนแมน" ที่พยากรณ์อากาศและการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ บนโลกด้วยดวงจันทร์ ได้ออกมาเตือนว่า ในช่วงค่ำคืนซูเปอร์มูนที่จะถึงนี้ อาจเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไครซท์เชิร์ช นิวซีแลนด์ขึ้นอีกครั้ง และอาจมีความรุนแรงมากกว่าเดิม โดย เคน ริง ได้ออกมาเปิดเผยคำทำนายดังกล่าว หลังจากที่เขาเคยโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ในวัน ที่ 14 กุมภาพันธ์ เพื่อเตือนว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในไครซท์เชิร์ช ระหว่างวันที่ 15-25 กุมภาพันธ์ โดยเฉพาะวันที่ 18 ในเมืองไครซท์เชิร์ช หรืออาจคลาดเคลื่อนได้ประมาณ 3 วัน ซึ่งหลังจากเผยแพร่คำทำนายได้เพียง 1 สัปดาห์ เหตุการณ์แผ่นดินไหวก็ได้เกิดขึ้นจริงในเมืองไครซท์เชิร์ชตามคำทำนายของเขา โดยเกิดขึ้นในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ด้านนายเดวิด ฮาร์แลนด์ นักประวัติศาสตร์อวกาศได้ออกมาเปิดเผยว่า ดวงจันทร์ไม่ได้มีอิทธิพลถึงขั้นที่จะทำให้โลกเกิดภัยพิบัติได้ขนาดนั้น มันจะส่งผลกระทบเพียงแค่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงมากกว่าที่เคยเป็นเท่านั้น จะไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดแต่อย่างใด แต่หากเกิดภัยพิบัติใด ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ก็คงเป็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดซูเปอร์มูนเท่านั้น ไม่ได้มาจากอิทธิพลของดวงจันทร์อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ดวงจันทร์มีระยะห่างจากโลกไม่เท่ากันในแต่ละคืน เพราะไม่ได้โคจรรอบโลกเป็นวงกลม ทำให้แต่ละเดือน จะมีช่วงที่ดวงจันทร์โคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุด หรือที่เรียกว่า Perigee ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ใกล้โลกมากที่สุดในระยะห่างประมาณ 363,104 กิโลเมตร และช่วงที่ดวงจันทร์โคจรห่างโลกมากที่สุด หรือ Apogee อยู่ที่ระยะห่างประมาณ 405,696 กิโลเมตร แต่ช่วงเวลาที่มันโคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุด และยังเป็นดวงจันทร์เต็มดวงด้วย จะมีให้เห็น 2-3 ปีต่อ 1 ครั้งเท่านั้น แต่ในปีนี้ ดวงจันทร์จะอยู่ในจุดที่ใกล้กว่าทุก ๆ ครั้ง ในรอบ 19 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ซูเปอร์มูนที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนวันที่ 19 มีนาคมนี้ จึงเป็นปรากฎการณ์ที่น่าจับตาดูมากเลยทีเดียว

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/56935

ปลานับล้านตายปริศนาในแคลิฟอร์เนีย


อีกครั้ง! ปลานับล้านตายปริศนาในแคลิฟอร์เนีย

เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพี (AP) รายงานว่า ปลาเล็ก ๆ นับล้านตัวลอยตายเกลื่อนบริเวณชายฝั่งเรดอนโด ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนสาเหตุการตายยังคงเป็นปริศนา

รายงานระบุว่า เหตุการณ์ปลานับล้านตายเกลื่อนปริศนานี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงคืนวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา บริเวณชายฝั่งเรดอนโด ตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งอยู่ห่างจากนครลอสแองเจลิสไปประมาณ 35 กิโลเมตร โดยปลาที่ลอยตายเป็นจำนวนนับล้านนี้ เป็นปลาขนาดเล็ก เช่น ปลากะตัก ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล ซึ่งคลื่นลมได้พัดพวกมันขึ้นมาลอยอยู่บริเวณท่าเรือคิงฮาร์เบอร์ สร้างความตกตะลึงให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นเป็นอย่างมาก

ส่วนสาเหตุการตายของปลาเล็ก ๆ พวกนี้ ยังไม่สามารถตรวจสอบสาเหตุได้ แต่ก็มีการคาดการณ์ว่า อาจมาจากภาวะขาดอ็อกซิเจนก็เป็นได้ โดยนายสเตซี่ กาบรีเอลลี่ ผู้ประสานงานทางทะเลแห่งท่าเรือคิงฮาร์เบอร์ ได้เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ว่า ปลานับล้านพวกนี้อาจพยายามหนีกระแสน้ำที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของกระแสน้ำนี้ ทำให้เกิดการสะสมของสาหร่ายในน้ำ และทำให้ปลาขาดอ็อกซิเจนจนตายในที่สุด และถูกคลื่นลมพัดพวกมันเข้ามาบริเวณชายฝั่งดังกล่าว

ส่วนทางด้าน แอนดริว ฮักแกน เจ้าหน้าที่จากกรมการสัตว์น้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็ได้กล่าวไปในทางเดียวกันว่า ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุการตายของปลาที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ ภาวะการขาดอ็อกซิเจน เพราะไม่พบการรั่วไหลของน้ำมันและสารเคมีต่าง ๆ เลย แต่อย่างไรก็ดี ทางกรมการสัตว์น้ำได้นำตัวอย่างปลาที่ตายไปตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงแล้ว ส่วนปลานับล้านตัวที่ลอยเกลื่อนอยู่บริเวณท่าเรือ จะมีการจัดการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตอนนี้เรือไม่สามารถเคลื่อนตัวออกไปจากฝั่งได้ และเริ่มมีกลิ่นคาวของปลาอบอวลไปทั่วบริเวณแล้ว

ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้มีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก สัตว์หลายชนิดตายปริศนา จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุการตายของพวกมันได้ และที่น่าตกใจมากที่สุด คือ เหตุการณ์สัตว์ตายปริศนานี้เริ่มพบเห็นได้บ่อยขึ้น และในแต่ละครั้งก็มีสัตว์ตายเป็นจำนวนนับพันไปถึงล้านตัว โดยล่าสุด เหตุการณ์สัตว์ตายปริศนานี้เกิดขึ้นทั่วโลกในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน คือในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งตลอดช่วงเวลานั้น ได้มี นก ปลา ปู และสัตว์น้ำอีกหลายชนิดตายเกลื่อนทั่วโลก รวมแล้วเป็นจำนวนหลายล้านตัวเลยทีเดียว

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/56887

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นาซ่าเผย ดาวอะโพฟิสพุ่งชนโลก เป็นไปได้น้อย

นาซ่าเผย ดาวอะโพฟิสพุ่งชนโลก เป็นไปได้น้อย



หลังจากที่เคยสร้างความฮือฮาให้กับคนทั่วโลกมาแล้วเมื่อ 6 ปีก่อน สำหรับเรื่องราวของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 (99942 Apophis) ที่นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้คาดการณ์ว่า มันกำลังจะพุ่งชนโลกในอีก 25 ปีข้างหน้า มีอำนาจทำลายล้างโลกกว่าครึ่งโลกให้พังพินาศไปกับตา ซึ่งข่าวนี้ก็สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับคนทั่วโลกได้ไม่น้อยเลยในขณะนั้น

ล่าสุด ประเด็นดังกล่าวได้ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อันอีกครั้ง โดยอ้างจากข้อมูลการคาดการณ์ของ ศาสตราจารย์ลีโอนิด โซโคลอฟ จากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ที่ระบุว่า ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 จะเคลื่อนที่เข้าเฉียดโลกในระยะใกล้มาก ประมาณ 34,400 กิโลเมตร ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2572 และมีแนวโน้มจะพุ่งเข้าชนโลกในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2579 โดยการพุ่งชนโลกครั้งนี้ จะสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับโลก ภูมิภาคกว่าครึ่งโลกอาจจะหายไป และคนบนโลกอาจต้องสังเวยชีวิตเป็นจำนวนมากถึง 10 ล้านคนเลยทีเดียว ถือเป็นวันล้างโลกตามพระคัมภีร์ของคริสต์อย่างแท้จริง

แต่แม้ว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวจะฟังดูน่ากลัว และถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางเพียงใด เห็นทีว่ามันจะกลายเป็นการคาดคะเนลอย ๆ ที่ยากจะเกิดขึ้นจริงเสียแล้ว เมื่อล่าสุด นาซ่าได้ออกมาเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วว่า ปรากฎการณ์ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 พุ่งชนโลกที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์กันนี้ แทบไม่มีอะไรต้องกังวลเลย เพราะมันมีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 1 ใน 250,000 หรือ 4 ในล้านเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก จนแทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลยทีเดียว

โดยนายโดนัลด์ เยโอแมนส์ นักดาราศาสตร์จากนาซ่า ได้เปิดเผยว่า มันเป็นความจริงที่ว่า วันหนึ่งดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 จะพุ่งเข้าชนโลก แต่การคาดการณ์จากนักวิทยาศาสตร์ที่ว่ามันจะพุ่งชนโลกในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2579 นั้น มีความเป็นไปได้น้อยมาก เพียง 1 ใน 250,000 เท่านั้น เรียกว่าแทบไม่มีอะไรต้องกังวลเลย แต่ถ้าหากปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง การพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสก็จะมีอำนาจการทำลายล้างโลกเท่ากับวัตถุ 150 ล้านตันพุ่งชนโลกเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าปรากฎการณ์ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 พุ่งชนโลก จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ทางนาซ่าได้คอยติดตามการเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์อะโพฟิส 99942 อย่างต่อเนื่อง และได้มีการวางแผนรับมือกรณีดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสพุ่งชนโลกแล้ว ซึ่งถ้าหากมันเคลื่อนที่พุ่งชนโลกเมื่อไร ทางนาซ่าจะส่งยานอวกาศบินเข้าไปประกบและเบี่ยงเบนเส้นทางการโคจรของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสให้พ้นจากโลก เพื่อให้โลกได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สำหรับดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 (99942 Apophis) ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2547 โดยในตอนแรกถูกเรียกว่า 2004 MN4 มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 350 เมตร หรือประมาณสนามฟุตบอล 2 สนาม มีรอบวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ 323 วัน


คลิปจำลองปรากฎการณ์ ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสชนโลก


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/56179

รัสเซียฟันธง'วันสิ้นโลก2036' มนุษย์สังเวย10ล้านชีวิต

รัสเซียฟันธง'วันสิ้นโลก2036' มนุษย์สังเวย10ล้านชีวิต!



ภาพยนตร์เรื่อง 2012 วันสิ้นโลก หนังฮอลลีวู้ดเมื่อหลายปีก่อน ทำเอามนุษย์โลกหวาดผวาและตื่นกลัวว่าโลกจะถึงกาลแตกดับลงจริงๆ จากคำทำนายของหลายสำนักที่หนังนำมาอ้างอิง แต่นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ชาติมหาอำนาจด้านอวกาศที่มีเทคโนโลยีด้านอวกาศก้าวหน้าไม่แพ้สหรัฐออกมาฟันธงว่า ระบุวันอาร์มาเก็ดดอน หรือวันสิ้นโลกตามพระคัมภีร์ของคริสต์ได้แล้ว โดยไม่ได้อยู่ในปี ค.ศ.2012 แต่จะเกิดขึ้นในอีก 24 ปีข้างหน้า หรือในปี ค.ศ.2036 (พ.ศ.2579)

ศ.ลีโอนิด โซโคลอฟ จากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์ สเบิร์กในรัสเซีย กล่าวว่า อุกกาบาตที่ชื่อ อะโพฟิส รหัส 99942 มฤตยูที่จะเดินทางมาชนโลก จะเข้ามาใกล้โลกที่ระยะ 37,000-38,000 กิโลเมตร ในวันที่ 13 เม.ย.2029 และมีแนวโน้มจะเข้ามาชนโลกในวันที่ 13 เม.ย.2036

ย้อนไปเมื่อปี 2547 มีการค้นพบอุกกาบาต อะโพฟิส รหัส 99942 ครั้งแรกว่าเป็นวัตถุอวกาศที่จะเข้ามาอยู่ในโซนอันตรายต่อโลก มีขนาดกว้าง 300 เมตร

เครื่องมือจำลองสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยเซาท์แธมป์ตันในอังกฤษชี้ว่า ความเสียหายจะเลวร้ายมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มันพุ่งชน ส่วนที่เลวร้ายที่สุดประเมินว่าจะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 10 ล้านราย แต่ก็ยังมีหลายเหตุผลที่ปลอบไม่ให้ตื่นตระหนก หนึ่งในนั้นคือความจริงที่ว่า มันอาจจะแตกตัวและเศษเล็กเศษน้อยอาจจะตกลงมาใส่โลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อีกเหตุผลที่ไม่ควรกลัวคือโลกจะได้รับคำเตือนก่อนแน่นอน

โดนัลด์ เยียแมนส์ หัวหน้าสำนักงานวัตถุใกล้โลกขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซ่า กล่าวว่า ในปี 2029 เมื่อมันแกว่งเข้ามาใกล้โลก เราจะพบว่าอะโพฟิสมีหลุมแรงดึงดูดที่จะลากมันเข้ามาในวงโคจรโลกในอีก 7 ปีให้หลังหรือไม่ ช่องว่างมีเพียงแค่ 600 เมตร ดังนั้น จึงยังพอมีโอกาสที่มันจะไม่เกิดขึ้น

ศ.โซโคลอฟ กล่าวด้วยว่า ภารกิจของนักวิทยาศาสตร์รัสเซียเวลานี้คือการพิจารณาทางเลือกและพัฒนาโครงการและแผนปฏิบัติการเพื่อรับมือกับอะโพฟิส


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNVEUwTURJMU5BPT0=§ionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1TMHdNaTB4TkE9PQ==

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse) กำลังระเบิด

ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse)

เป็นข่าวฮือฮาออกมาว่า โลกของเราใกล้อวสานเข้าไปอีกครั้ง เมื่อดาวบีเทลจุส (Betelgeuse)กำลังจะระเบิด แต่มันมีผลอย่างไร ลองอ่านดู



เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์เผยโลกอาจจะเกิดปรากฎการณ์พระอาทิตย์สองดวงขึ้นในเร็ว ๆ นี้ หลังจากมีการตรวจสอบพบว่า ดาวบีเทลจุสกำลังจะระเบิด ซึ่งทำให้ชาวโลกได้เห็นแสงของมันสว่างเท่ากับดวงอาทิตย์ กินเวลานานประมาณ 1-2 สัปดาห์

โดย แบรด คาร์เตอร์ อาจารย์ฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมาว่า ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse) ดาวซูเปอร์ยักษ์แดงนอกระบบสุริยะที่มีขนาดเทียบเท่ากับดวงอาทิตย์ 1.6 พันล้านดวง อยู่ห่างจากโลกไปกว่า 640 ปีแสง กำลังจะหมดอายุขัยและเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ หรือ "ซูเปอร์โนวา" ขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยการระเบิดของบีเทลจุสนี้ จะทำให้ชาวโลกได้เห็นแสงสว่างของมันใหญ่เท่ากับดวงอาทิตย์อยู่บนฟ้า และเปล่งแสงสว่างจ้าทั้งยามกลางวันและกลางคืน เป็นเวลายาวนานกว่า 1-2 สัปดาห์ ก่อนจะค่อย ๆ หรี่แสงและดับลงในที่สุด โดยกินเวลาอยู่อีกหลายเดือนกว่าจะดับลง แต่ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับโลก นอกจากการมองเห็นแสงสว่าง เป็นดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 เท่านั้น

แบรด คาร์เตอร์ เปิดเผยอีกว่า การระเบิดครั้งใหญ่ของมันครั้งนี้ ถือว่าเป็นซูเปอร์โนวาครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่กำเนิดโลกมาเลยทีเดียว เพราะมันเป็นดาวยักษ์ใหญ่แดงที่มีขนาดใหญ่มาก และเปล่งแสงมากกว่าดวงอาทิตย์กว่าแสนเท่า ดังนั้น เมื่อมีการระเบิดอย่างรวดเร็ว ก็จะทำให้แสงสว่างจากการระเบิดของมันเปล่งไปถึงระบบสุริยะอื่นที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันปีแสงได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ได้มีการคาดคะเนจากนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน เกี่ยวกับการเกิดซูเปอร์โนวาของดาวบีเทลจุสนี้ แต่ไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่าซูเปอร์โนวาครั้งใหญ่ที่สุดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด อาจในเร็ว ๆ นี้ หรือคลาดเคลื่อนไปจากการคาดคะเนกว่าพันปี ล้านปี ไม่มีใครรู้ แต่จากการสังเกตจากนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ พบว่า จากภาพที่เห็นบนโลกในขณะนี้ ดาวบีเทลจุสใกล้จะสิ้นอายุขัยเต็มที และอาจเป็นไปได้ว่า ดาวบีเทลจุสอาจจะระเบิดไปหลายร้อยปีแล้ว แต่แสงที่เกิดจากการระเบิดนั้นยังไม่เดินทางมายังโลกเท่านั้น และหากมันระเบิดขึ้นและแสงของมันเดินทางมาถึงโลกเมื่อไร ก็จะกลายเป็นปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ดาวบีเทลจุส เป็นดาวซูเปอร์ยักษ์แดงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในทุกค่ำคืน มีแสงสว่างเป็นลำดับที่ 9 บนฟ้า และเป็นดาวที่สว่างเป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่มดาวนายพราน เปล่งแสงสว่างไม่คงที่ในแต่ละปี โดยจะค่อย ๆ สว่างมากที่สุดและจางลงเรื่อย ๆ ก่อนกลับมาสว่างจ้าอีกครั้งทุก ๆ 5.8 ปี

ส่วนอายุของดาวบีเทลจุสนั้น นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่ามันน่าจะมีอายุประมาณ 10 ล้านปีเท่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงอายุที่ใกล้จะถึงจุดจบของมันเต็มที เพราะโดยปกติแล้วดาวดวงใหญ่ ๆ นี้จะมีอายุขัยสั้นกว่าดาวดวงเล็ก ๆ มาก เนื่องจากเป็นดาวขนาดมหึมาที่มีมวลมาก สว่างมาก และมีอุณหภูมิสูงมาก จึงมีการใช้พลังงานมากกว่าและไฮโดรเจนภายในก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อมันเกิดการระเบิด แรงระเบิดของมันจะขับไล่ดวงดาวและวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้ให้กระเด็นออกไปด้วยความเร็วแสง เกิดคลื่นกระแทกระหว่างดาวอย่างรุนแรง ซึ่งการแพร่กระจายของคลื่นกระแทกจากการระเบิดนี้ สามารถทำให้เกิดดวงดาวน้อยใหญ่ดวงใหม่ ๆ ได้อีกมากมายเลยทีเดียว

ที่มา
kapook.com

หรือนี่จะเป็นการล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตอีกครั้ง เหมือนครั้งไดโนเสาร์ที่ผ่านมาเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างที่เราทำขึ้นมาตอนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์ แต่เขาว่าอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ มันอาจจะไม่ร้ายแรงก็ได้ ใจเย็นๆ


ทำบุญเยอะๆ นะ ช่วยได้แน่ คนมีบุญเพียงพอเท่านั้นที่จะอยู่รอด

พายุไซโคลนยาซี พัดเข้าชายฝั่งออสเตรเลียแล้ว

พายุไซโคลนยาซี พัดเข้าชายฝั่งออสเตรเลียแล้ว


พายุไซโคลนยาซี พัดเข้าสู่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียแล้ว ขณะที่ทางการเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่

พายุไซโคลนยาซี ซึ่งมีแรงลมใกล้ศูนย์กลางกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พัดเข้าสู่ชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ กว่า 400,000 คน ตลอดความยาวของแนวชายฝั่ง 370 ไมล์ รวมทั้งในเมืองแคร์นส์, ทาวน์สวิลล์ เมื่อวันพฤหัสบดี (3 กุมภาพันธ์) ตามเวลาท้องถิ่นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทางการได้มีการอพยพประชาชนนับหมื่นคน ไปหลบอยู่ในสถานที่พักฉุกเฉิน ก่อนที่พายุไซโคลนยาซีจะพัดถล่ม ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนว่า พายุไซโคลนยาซี อาจมีทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย

นอกจากนี้ เที่ยวบินจำนวนมาก ได้ขนย้ายนักท่องเที่ยวและผู้คนออกจากเมืองแคร์นส์, ทาวน์สวิลล์หนีพายุดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงเช้าวันพุธ ก่อนสนามบินทั้งหมดจะถูกปิด

ขณะที่ แอนนา บลายห์ นายกรัฐควีนส์แลนด์ กล่าวเตือนให้ประชาชนเตรียมใจรับความเสียหายที่ต้องเผชิญ "เราอาจต้องหัวใจสลายและเผชิญกับสภาพการทำลายล้างในระดับที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ประเทศของเราไม่เคยรับมือกับสิ่งใดที่เหมือนกับไซโคลนลูกนี้มาก่อน"

สำหรับ พายุไซโคลนยาซี คาดจะมีความรุนแรงที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ เทียบเท่าเฮอริเคนแคทรีนา และพายุไซโคลนยาซีลูกนี้เป็นภัยธรรมชาติล่าสุดที่ซ้ำเติมรัฐควีนส์แลนด์ ที่เพิ่งประสบอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ หลังจากพายุโซนร้อนหลายลูกทำให้ฝนตกหนักนับแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน คาดว่าเส้นทางที่มันเคลื่อนผ่านจะกระทบต่อประชาชนมากกว่า 400,000 คนตั้งแต่ในเมืองแคร์นส์, ทาวน์สวิลล์ และแม็กเคย์ เมืองริมชายฝั่งเหล่านี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของพวกแบกเป้เที่ยว และนักดำน้ำดูปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ

ภาพถ่ายดาวเทียมเผยให้เห็นขนาดของพายุที่ครอบคลุมบริเวณกว้างใหญ่กว่าอิตาลี หรือนิวซีแลนด์ บลายห์กล่าวว่าอันตรายที่สุดของมันคือคลื่นยักษ์ซัดฝั่ง ที่พยากรณ์อากาศทำนายว่าอาจสูงถึง 7 เมตรจากระดับคลื่นสูงปกติ เครือข่ายโทรศัพท์ในพื้นที่อาจใช้การไม่ได้และประชาชนราว 150,000-200,000 คนอาจไม่มีไฟฟ้าใช้ เหมืองแร่, รถไฟ และท่าเรือขนถ่านหินปิดทำการทั้งหมดแล้ว หลังจากเจ้าหน้าที่เตือนว่าพายุอาจเคลื่อนสู่ดินแดนชั้นในนับพันกิโลเมตร ทำให้เขตชนบทและเขตทำเหมืองที่เคยประสบน้ำท่วมหลายเดือนอยู่ในความเสี่ยง

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/55828

เผยแผนที่โลกปัจจุบัน ปกคลุมด้วยน้ำแข็งไปแล้วกว่าครึ่ง


สมาคมวิจัยมหาสมุทรและบรรยากาศสากล หรือ NOAA เปิดเผยแผนที่แสดงสภาพภูมิประเทศโลกในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแผ่นดินบนโลกถูกปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งไปแล้วกว่าครึ่ง

โดยแผนที่ดังกล่าว ได้สร้างขึ้นจากภาพถ่ายดาวเทียมภาพล่าสุด แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกากว่าครึ่งถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง อันเนื่องมาจากพายุฤดูหนาวกำลังเคลื่อนตัวเข้าปกคลุม และตั้งแต่ชายฝั่งตะวันตกของแคนนาดา ไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของประเทศจีน ก็มีสภาพอากาศหนาวจัด ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะเช่นกัน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว หากรวมกับพื้นที่บริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้แล้ว ก็ถือเป็นพื้นที่เกินครึ่งของแผ่นดินบนโลกเลยทีเดียว โดยสมาคมวิจัยมหาสมุทรและบรรยากาศสากลได้ทำการวิจัยพื้นที่ที่มีน้ำแข็งปกคลุมและปริมาณหิมะ พบว่า เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แผ่นดินบนโลกถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งแล้วกว่า 59.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่กินพื้นที่เพียง 47.7% เท่านั้น ขณะที่ปริมาณหิมะที่ปกคลุมบนผิวโลกมีความหนาเฉลี่ยประมาณ 8.2 นิ้ว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากเลยทีเดียว

ทั้งนี้ สภาพอากาศทั่วโลกในช่วง 2-3 ปีมานี้ ถือว่าแปรปรวนเป็นอย่างมากที่สุด โดยปรากฎการณ์ดังกล่าว ถูกเชื่อว่ามาจากสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรของโลก และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่สูง ทำลายชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก จนทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลายกลายเป็นน้ำเย็นเฉียบในทะเล เมื่อน้ำในทะเลมีอุณภูมิต่ำลงมาก ก็มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศให้หนาวจัดในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เช่นในอเมริกาที่พายุหิมะกำลังถล่มอย่างหนักในหลายรัฐ ส่งผลให้ประชาชนต้องเผชิญกับความหนาวเย็นและหิมะที่ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณก็เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง และวิถีชีวิตของคนที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว ส่วนในประเทศจีนก็หนาวจัดกว่าทุกปีที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากความหนาวเย็นไปหลายคนแล้ว

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์หลายท่าน ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังจากวิกฤติสภาพอากาศได้เกิดขึ้นแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิง พื้นที่ที่เคยร้อนจะเปลี่ยนเป็นหนาว พื้นที่หนาวจะร้อนขึ้น และอุณหภูมิของโลกโดยเฉลี่ยก็จะสูงขึ้นอีกด้วย


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/55841

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

สัตว์ตายปริศนา สัญญาณโลกาวินาศ?

สัตว์ตายปริศนา สัญญาณโลกาวินาศ?






กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วโลก สำหรับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เมื่อหลายพื้นที่บนโลกได้เผชิญกับภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เผชิญกับความแปรปรวนของสภาพอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกมากมาย จึงไม่แปลกที่จะเกิดคำถามที่ว่า สิ่งเหล่านี้คล้ายกับจะเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังมาถึงจุดเปลี่ยนอย่างเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ หรือไม่

และล่าสุด เหตุการณ์แปลกประหลาดซึ่งได้กลายเป็นปริศนาของคนทั่วโลกไปอีกหนึ่งประเด็นในขณะนี้ ก็คือ เหตุการณ์สัตว์ในหลายพื้นที่ตายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เริ่มจากที่มลรัฐอาร์คันซอส์ สหรัฐฯ มีนกแบล็กเบิร์ดกว่า 5,000 ตัวตกลงมาตายเกลื่อนถนน ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ขณะที่ปลาดรัมฟิชกว่า 100,000 ตัว ก็ตายเกลื่อนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ในช่วงเวลาเดียวกัน สร้างความฉงนสงสัยให้กับชาวเมืองเป็นอย่างมาก เพราะมีเพียงนกแบล็กเบิร์ดกับปลาดรัมฟิชเท่านั้นที่ตาย ส่วนปลาและนกชนิดอื่นไม่ได้มีรายงานแต่อย่างใด ขณะที่ในเคนตั๊กกี้ ก็มีนกตายให้เห็นประปราย โดยได้รับการเปิดเผยจากหญิงสาวคนหนึ่งว่า มีนกตกลงมาตายบริเวณบ้านของเธอ 10 กว่าตัวเลยทีเดียว และที่หลุยเซียน่า นกแบล็กเบิร์ดปีกแดง นกสตาร์ลิ่ง และนกกระจอก รวมแล้วกว่า 5,000 ตัว ก็ตกลงมาตายเกลื่อนในช่วงปีใหม่ และนอกจากนี้รัฐอื่น ๆ ในสหรัฐฯ ก็มีนกและปลาตายเช่นกัน ได้แก่ อิลลินอยส์ เทนเนสซี มิสซิสสิปปี้ แมร์รี่แลนด์ และมิสซูรี

ส่วนในประเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรปก็ไม่ต่างกัน โดยในประเทศอิตาลีได้มีนกพิราบตกมาตายหลายพันตัว และทางตอนใต้ของสวีเดนที่กำลังเผชิญกับอากาศหนาวเย็น ก็มีนกตกลงมาตายบนกองหิมะอีกหลายร้อยตัว ขณะที่ในประเทศบราซิล ก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่ก็มีปลาซาร์ดีน ปลาโคร๊กเกอร์ และปลาดุก รวมกว่า 100 ตันตายอยู่ในทะเลอย่างไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งการที่ปลาตาย จำนวนมากครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนชาวประมง ในเมืองปารานา เพราะว่าต้องหยุดหาปลา ทำให้ขาดรายได้ พร้อมกับเกิดความวิตกว่า จะเกิดโรคระบาดในปลา และสัตว์ทะเลอื่น ๆ ส่วนที่นิวซีแลนด์ ปลากะพงหลายร้อยตัวลอยแพกันมาตายเกยตื้นอยู่บริเวณชายหาดเพนนินซูลา สร้างความตกอกตกใจให้กับบรรดานักท่องเที่ยวไม่น้อย

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีสัตว์ตายเกลื่อนมาตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ เช่น ในเวียดนาม ได้มีปลาหลายพันตัวลอยแพขึ้นเหนือน้ำ สร้างความประหลาดใจให้กับชาวบ้าน และพวกเขาไม่สามารถจับปลาสดไปขายได้อีก และก่อนหน้านั้น เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ก็มีจระเข้ เต่า ปลาโลมา และสัตว์น้ำอีกหลายชนิดลอยตายเกลื่อนในทะเลสาบและแม่น้ำในประเทศโบลิเวีย

อย่างไรก็ตาม การตายของสัตว์ต่าง ๆ ยังอยู่ระหว่างการชันสูตรเพื่อค้นหาสาเหตุการตายที่แท้จริง ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ในช่วงนี้ก็มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุการตายของสัตว์เหล่านี้มากมาย บ้างก็ว่าเป็นเพราะนกตกใจเสียงพลุและแสงสีช่วงปีใหม่ บ้างก็ว่าเกิดจากมลพิษในอากาศและน้ำ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ตั้งคำถามขึ้นมาอีกว่า ถ้าหากเป็นเพราะเสียงพลุและแสงสีจากเทศกาลปีใหม่จริง เหตุใดจึงเพิ่งเกิดเหตุการณ์นกตกลงมาตายเกลื่อนในปีนี้ เมื่อเทศกาลปีใหม่ก็จัดในรูปแบบเดียวกันกับทุกปี และถ้าหากเกิดจากมลพิษในอากาศและน้ำ เหตุใดในอีกหลายพื้นที่ที่มีมลพิษมากกว่าจึงไม่เผชิญกับปัญหาเดียวกัน

สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้ ที่เป็นข้อสันนิษฐานที่ยังไม่มีคำถามใด ๆ ตามมา นั่นก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก ที่กำลังกลับขั้วสลับตำแหน่งกัน ซึ่งการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกนั้น จะส่งผลให้ความเข้มข้นของแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง จนทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ดังนี้

1. ภัยพิบัติบนผิวโลก เช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม สึนามิ อันเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก และเกิดภัยธรรมชาติอีกมากมาย เนื่องจากการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะทำให้ทุกสิ่งบนโลกเปลี่ยนทิศทาง เช่น กระแสน้ำ กระแสลม

2. โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น เมื่อสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง การแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ก็เพิ่มปริมาณมากขึ้นถึงระดับอันตราย ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนสิ่งมีชีวิตบางประเภทปรับตัวไม่ทัน และเกิดพายุสุริยะ

3. ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างบนโลกจะทำงานผิดปกติ

4. ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายสัตว์อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงมนุษย์ด้วย ทำให้สัตว์หลายชนิดอ่อนแอและล้มตายดังที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยในระยะเริ่มต้น สัตว์เล็กจะล้มตายก่อน เมื่อความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กอ่อนแอถึงขั้นรุนแรง สัตว์ใหญ่และมนุษย์ก็จะล้มตายไปตาม ๆ กัน

5. วัตถุในอวกาศตกสู่ผิวโลก เมื่อสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง แรงดึงดูดของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป วัตถุต่าง ๆ ในห้วงอวกาศจะเคลื่อนที่เข้ามาสู่ผิวโลกได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ แม้จะไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่า การตายปริศนาของสัตว์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นจากการที่สนามแม่เหล็กโลกกลับขั้ว แต่หากพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็จะพบว่ามีภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้น สร้างความเสียหายให้กับมนุษย์อย่างมากมาย อีกทั้งโลกก็ยังมีอุณหภูมิสูงขึ้นทุกวันและเกิดพายุสุริยะในบางพื้นที่ ดังนั้น ก็อาจเป็นไปได้ว่าการตายของสัตว์ที่เกิดขึ้นนี้ อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่แสดงให้เห็นว่า โลกใบนี้กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และกำลัง "เริ่มต้น" นับถอยหลังสู่จุดหายนะที่เรียกว่ายุคโลกาวินาศอีกครั้งตามวัฏจักรของโลก หลังจากที่มันเคยเกิดขึ้นและทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สาบสูญไปมาแล้วเมื่อหลายล้านปีก่อน

ข่าวนกตายในหลุยเซียน่า




ข่าวพบนกตายในหลุยเซียน่า เคนตั๊กกี้ และอาร์คันซอส์




ข่าวนกตายเกลื่อนบนถนนในหลุยเซียน่า



ข่าวนกตายในสวีเดน




ข่าวปลาตายในรัฐแมร์รี่แลนด์




ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/55022

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ - พุทธพยากรณ์โลก


หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ - พุทธพยากรณ์โลก

ลองตั้งใจฟังดูดีๆนะครับแล้วลองพิจารณาดูแล้ว
เทียบกับสถานการ์ณที่กำลังเกิดอยู่ในปัจจุบันนี้
และไว้ดูเป็นแนวของสิ่งที่จะเกิดในอณาคตโดยเฉพาะให้สังเกตุว่า

เทปบันทุกเสียงนี้ได้ถูกบันทึกไว้สิบกว่าปี
มาแล้วแต่ว่าหลวงพ่อท่านได้
กล่าวถึงปัญหาในภาคใต้ไว้แล้ว
...และอื่นๆอีกมาก ! ลองตั้งใจฟังดูดีๆครับ
แล้วจะค้นพบอะไรมากมาย

พิบัติทำนายฉบับลาว

พิบัติทำนายฉบับลาว



คงจำกันได้ ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาข่าวภัยพิบัติธรรมชาติจากอุตรดิตถ์ ไปจนถึงยอร์คจาร์การ์ตา อินโดนีเซีย ทำลายทรัพย์สินและคร่าชีวิตผู้คนมากมาย

ก่อนนั้นบ่ายวันหนึ่งต้นเดือนพฤษภาคมผมนั่งหลบร้อนอยู่ใต้ถุน จู่ๆก็มีเพื่อนบ้านเดินมาแจกเอกสาร2 เล่ม ลักษณะเป็นกระดาษเอ4 ซีรอกซ์ เย็บง่ายๆ ปกใช้กระดาษปอนด์สีฟ้าตัวพิมพ์คอมพิวเตอร์ ข้อความบนปกบอกว่าเป็นคัมภีร์ใบลานอักขระธรรมจากภูค้อของสามเณรคำ อีกเล่มเป็นกระดาษเอ4 พับครึ่งปกสีเดียวกันเป็นบทสวดใช้คู่กับเล่มแรก

เพื่อนบ้านคนนั้นระบุว่าต้องการฝากเอกสารฉบับดังกล่าวให้พ่อ(ของผม) ผมก็รับนำไปให้ท่าน ส่วนเขารีบเดินจากไปคงไปแจกต่อ

ครั้นพ่อรู้ว่าใครมาแจกก็ยิ้มๆอยู่ พูดงึมงำอะไรอยู่ในคอไม่ทันฟัง อ่านครู่หนึ่งก็วางแล้วกลับไปดูมวยช่วงเจ็ดสีต่อ ผมว่างมากวันนั้นก็ถือโอกาสนั่งพลิกๆอ่านเล่น พบเรื่องตื่นเต้นจริงบ้างเล่นบ้าง คล้ายเรื่องในอินเตอร์เนท ข่าวลือ จริง ลวง เท็จอย่างไร เผยแพร่ด้วยวัตถุประสงค์อันใด ไม่รู้ไม่มีที่มาชัดแจ้งนัก ที่ผมสนใจนี่เป็นการเผยแพร่แบบดั้งเดิมแบบชาวบ้านจริงๆ นี่แหละ (เดินแจก) ไม่ต้องพึ่งความเร็วของสื่อยุคใหม่ มาไกลเหมือนกัน และคงสร้างความเชื่อและแตกตื่นระดับหนึ่ง

ที่มาที่ไป ต้องการอะไร ใครได้ประโยชน์ เชื่อหรือไม่เชื่อไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้

หนังสือใบลานนี้ระบุว่าตกลงมาสู่วัดแห่งหนึ่งในแขวงอัตะปือ(น่าจะเป็นประเทศลาว)

ข้อความเริ่มที่ ....ข้าพเจ้า(คนเขียนเผยแพร่) บอกว่าได้รับรู้จากพระอาจารย์ ผู้ทรงศีลองค์หนึ่ง เผยแพร่ให้ทราบจึงเกิดศรัทธ่เสียสละทรัพย์ส่วนตัวพิมพ์แจกจ่ายมายังชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อเป็นการกุศล และพิจารณาด้วยตนเอง ถึงมหันตภัยของโลกาภิวัตน์ซึ่งจะเกิดขึ้นตามพุทธทำนาย

ผม พลิกดูข้อความก็พบว่าเป็นการทำนายหายนะต่างๆที่จะเกิดขึ้น คัดมาเพียงบางตอนดังนี้

..ในปีระกา ปีจอนี้ มีเรือนแล้วจะไม่มีคนอยู่ มีนาไม่มีคนทำ เดือนเจ็ดจะมีงูเต็มไปทั่ว
ถึงเดือนสิบเอ็ด คนบาปจะตายเพราะไม่ซื่อสัตย์ จะมีภัยต่างดังนี้1.จะมีสงครามเกิดขึ้นทางน้ำ ,ท่าน้ำจะมีอันตราย
2.จะเกิดนอนไม่หลับ
3.ผัวเมียจะไม่เห็นหน้ากัน
4.ทั้งลูกทั้งหลานจะไม่เห็นหน้ากัน
5.คนจะตายทั่วทั้งทวีป

แต่ว่าการตาย จะไม่มีคนฝัง คนเผา ไม่มีผ้านุ่งผ้าถุง มีข้าวไม่มีคนกิน เพราะการกระ
ทำบาปทั้งหลายในจำนวนคนหนึ่งหมื่นคนจะตายเหลือแค่หนึ่งพันคนเท่านั้น จะ
เกิดโจรผู้ร้ายเรียกค่าคุ้มครอง เสือร้ายต่างๆ จะเกิดขึ้นสี่ห้า หกปี ไปจนถึงปีชวดก็จะหมดกั
นแล้ว บ้านเมืองไม่สบายในห้าปีนี้ มันร้อนเต็มที่แลฯ .....

ยังมีภัยอีกอย่างว่า ถ้ามีคนมาเรียกอย่าขาน กลัวผีมัมาเห็นเดือนหกออกใหม่ค่ำหนึ่งกับเดือนแรมเก้าไม่ให้ตักน้ำ ให้ตักไว้ก่อน กลัวผีมันเอายาใส่กินแล้วตาย ........

น้ำอุบาทว์จะท่วมโลกโดยบังเอิญทั่วทั้งทวีป คิดกลัวจะไม่ถึงปีระกาและปีชวด ถ้าไม่เชื่อเดือนสิบสองจะบันดลให้คนไออกเลือดแล้วตาย .......

ในปีจอต่อปีกุน ยามเดือนแจ้งจะเกิดมีงูพิษออกมาฉกกัดให้ตาย ฝูงชนทั้งหลายจะได้รับความเดือดร้อนหลายประการ เช่น ทุกข์ยากร้อนเพราะศึกสงครามไม่เสร็จสิ้น ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีน้ำมีไฟ ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีใครดูแลใคร ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีใครอยู่ทุ่งไร่นา ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีผู้เฒ่าผู้แก่ ทุกข์ยากร้อนเพราะไปต่างประเทศสะดวก ทุกข์ยากร้อนนอนไม่หลับ

ในปีจอนี้เมืองเวียงจันทร์จะมีองค์ฤาษีทองคำ ลาสิกขาบวชมาเป็นพ่อค้า ในปีจอออกใหม่ 8 ค่ำ ห้ามไม่ให้ต้กน้ำอาบน้ำกิน ตามห้วยหนอง คลองบึง หลังพระอาทิตย์ตกดิน หรือก่อนมืดค่ำ พระยายมราชจะนำเอายาพิษพ่นลงมายังโลกมนุษย์
ในปีจอนี้เมืองกรุงเทพมหานครจะพังทลาย ในเวลาไก่ขัน......
พระอินทร์จะลงโทษกับมนุษย์ใจบาป 9 ข้อนับแต่ปีจอถึงปีกุนคือ
1.จะทำให้เกิดภัย ลมแรง แผ่นดินไหว
2.จะเกิดไฟไหม้
3.จะเกิดน้ำท่วม
4.จะเกิดฟ้าผ่า
5.จะทำให้เกิดเดือดร้อน ร้อนหลาย หนาวหลาย
6.จะเกิดสารพิษต่างๆ อากาศ อาหารเป็นพิษ
7.จะเกิดสารโรค พยาธิร้าย
8.จะเกิดอดอยาก
9.จะเกิดอาฆาต ฆ่าฟันกันเอง สำหรับคนบาป

มหันตภัย 9 อย่างนี้ จะหลุดพ้นแต่บุคคลผ็มีใจบุญใจกุศล ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น...

จะเกิดภัยพิบัติในระยะไม่กี่ปีนี้ และมีภัยอีกอย่างหนึ่ง คนบาปมากในที่ต่างๆ มาทำให้เกิดพิษแก่ข้าว ถั่ว งา ให้เป็นพิษ ทำนาไม่ได้ข้าว ปลูกถั่ว งา ไม่มีผล ไม่มีหน่วย เงินสามสิบบาทซื้อข้าวไม่พออิ่ม คนจะอดอยากจะตายเพราะอดข้าว อีกอย่างหนึ่งจะตายทางน้ำมาก เช่นฝนตกลงมาเป็นพิษ ถูกเนื้อตัวเป็นผื่นคัน เป็นเม็ด เกิดน้ำเหลืองหรือเปื่อยเน่ารักษาไม่หาย อีกอย่างหนึ่งจะมีโจรผู้ร้ายใจบาปมาก ฆ่าพ่อ ตีแม่ตนเองเหยียบย่ำศาสนา ใจบาปทำความเดือดร้อนเรียกค่าคุ้มครองทั่วๆไปจนเกิดความหวาดกลัวและยังมีภัยเกิดจากสงคราม ทำให้คนทั่วทวีปล้มตายกันมากแท้ จะหนีไปอยู่ในป่า ในแนว ในหลุมก็ตายไม่เหลือ แล้วจะเกิดอุบาทว์ ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงกระทันหัน เป็ดไก่ วัว ควาย จะตายมาก แม้คนก็จะตายตาม แล้วห้าทวีปจะหนีในการบริหารประชุมกัน ก็จะเกิดสงคราม เพราะคนใจบาปมาก จะไม่เกิน 2548 ต่อ 2549 ต่อ 2550 ต่อ 2551 จะมีคนเหลือน้อยใน 5 ทวีป ขอให้ท่านทั้งหลายจงพากันทำบุญรักษาศีลทุกท่านเทอญ

ภัยพิบัติโลก เมื่อพ.ศ. 2547 ต่อ 2548 ต่อ 2549 ต่อ 2550 ต่อ 2551 ครั้งที่ 1 คือ 2547ต่อ 2548 ไม่หนักเท่าใด ครั้งที่ 2 2548 ต่อ 2549 หนักกว่าครั้งแรก 3 เท่า ครั้งที่ 3 2549 ต่อ2550 หนักมากที่สุด จะมีเมฆก้อนสีดำก้อนใหญ่มาปกคลุมโลก ฝนที่ตกลงมาจะเป็นพิษตกถูกผู้ใดจะเน่าเปื่อยรักษาไม่หาย แล้วทางทะเลจะระเบิดน้ำจะท่วมสูงประมาณ 100 เมตร แล้วจะมีภูติพื้นพิภพออกมากินมนุษย์ เกาะต่างๆ ในน้ำทะเลจะไม่มี ทางบก ทางอากาศจะระเบิดพร้อมกัน ในปี 2548 ต่อ 2549 จะมีงูน้อยใหญ่ออกมาทั่วพื้นพิภพในราวเดือน 11-12 งูนั้นเป็นบริวารของพญานาคราช ถ้าผู้ใดทำอันตรายเขาผู้นั้นจะตายทันที

มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย ขอจงอย่าประมาทถ้าอยากพ้นภัยพิบัตินั้นให้พากันถือศีลกินทาน และพากันท่องคาถาป้องกันภัยพิบัติโลก.....

ผมหาอยากนำเรื่องนี้มาเล่าตั้งแต่วันแรกที่เห็นเอกสารเผยแพร่ฉบับชาวบ้านดังกล่าวแล้วครับแต่ไม่มีโอกาส หลังเหตุการณ์ภัยพิบัติใหม่ๆ ก็คิดอยู่ แต่มาคิดอีกมุมหนึ่ง หากนำเสนอหลังภัยพิบัติเพิ่งพ้นผ่านประเดี๋ยวจะเป็นการหาโอกาสสร้างความขลังให้กับคำทำทาย ประเภทว่ารู้มาก่อนล่วงหน้า (แต่ดันมาพูดตามหลังเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว แบบหมอเดา ...ช่วงนี้ยังมีเรื่องพระโลงศพ ออกมาใบ้หวยผิด คิดแล้วมองเห็นการออกนอกลู่นอกทางทางคำสอนแท้ๆ ของพระพุทธเจ้าไปถึงไหนแล้ว )

เอาเป็นว่าที่คัดมาเล่าให้ฟังเพื่อให้เห็นการกระจายข่าวประสาชาวบ้านอย่างหนึ่ง อีกประการหนึ่งเพื่อเตือนสติกันอยู่เสมอๆว่าอย่าตั้งตนในความไม่ประมาทตามคำสอนของพระพุทธองค์

ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

พุทธทำนายล้านนาประเทศ

พุทธทำนายล้านนาประเทศ



จากคัมภีร์ใบลานเรื่อง "หมากน้ำเต้าจมหมากหินฟู" ของวัดป่าสักน้อย ตำบลแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้จารชื่อ "อภิชัย ยาตันคหัสถ์" ผู้สร้างชื่อ "นายน้อยตัน" จารไว้เมื่อ พ.ศ.2492

มีใจความว่า ครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับที่เชตวันวนาราม ทรงปรารภถึงการดำรงอยู่นานหรือไม่นานของพระศาสนา โดยทรงปรารภเหตุที่เทวดาทั้งหลายได้กราบทูลถาม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาตอบ โดยที่ในมัชฌิมยามคืนหนึ่ง เหล่าเทพเข้าไปสู่ธัมมสภาคศาลาเป็นจำนวนมากเพื่อฟังธัมมกถาในสำนักของพระพุทธองค์ยามเที่ยงคืนทั้งนี้ มีเทวดาชื่อ "ปัณณเทพ" เป็นหัวหน้าได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า การที่บางคนเกิดมาได้รับความลำบากยากแค้น แต่บางคนมีทรัพย์มั่งคั่ง บางคนรูปร้ายทุพพลภาพ บางคนอายุสั้น และบางคนอายุยืนยาวนั้นเป็นเพราะเหตุใด

พระพุทธองค์ตรัสว่า การที่คนเกิดมาและอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นเพราะในชาติก่อน ได้ทำบุญให้ทานถือศีลฟังธรรม ส่วนคนที่เกิดมาลำบากเข็ญใจนั้น เป็นเพราะในชาติก่อนมิได้ทำบุญให้ทาน ไม่สงเคราะห์แก่ผู้ใด มีแต่กระทำบาป เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดในนรก พ้นจากนรกก็เกิดเป็นเปรต หากยังมีกรรมหนาแน่นอยู่หรือเคยฆ่าสัตว์มาก่อน ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ที่ตนเคยฆ่าอีกห้าร้อยชาติ แล้วจึงเกิดมาเป็นคนอนาถายากไร้

คนที่มีรูปงามและมีอายุยืนนั้น ก็เนื่องมาจากอดีตชาติเคยทำบุญให้ทาน รักษาศีล ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่อิจฉาริษยาขึ้งโกรธต่อผู้ใด คนที่มีแต่ความอิจฉาริษยาอยู่ในใจนั้น มักเป็นผู้ผูกโกรธและไม่ทำบุญรักษาศีล พอเกิดมาจึงมีรูปร่างไม่งดงาม หรืออวัยวะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือมีอายุสั้น

คนที่เกิดมามีสติปัญญาและความจำดี มีศิลปวิทยาเป็นประโยชน์ต่อตนและครอบครัว ทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมือง หรือเป็นครูผู้สอนศิลปวิทยาแก่ผู้อื่นมาก่อน เมื่อเกิดมาอีกจึงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดส่วนคนที่เกิดมาแล้วโง่ทึบหรือเป็นบ้าเป็นใบ้นั้น เป็นเพราะในชาติก่อนมิได้ศึกษาเล่าเรียน ไม่ได้ฟังคำสอน หรือมีผู้สอนแล้วไม่เชื่อฟัง ก็ทำให้เกิดมาเป็นคนโง่ทึบและเป็นบ้าใบ้

พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า พระองค์จะมีพระชนมายุเพียง 80 ชันษา ก็จะนิพพาน และได้กำหนดให้พระพุทธศาสนายืนอยู่ได้ 5,000 ปี เมื่อพระองค์นิพพานไปครบ1,000 ปีแล้ว ก็จะเกิดความยุ่งเหยิงเป็นครั้งคราว จะมีพระอริยสงฆ์และพระราชาช่วยกันกอบกู้เป็นระยะๆ เพื่อให้พระพุทธศาสนาสืบเนื่องต่อไปได้ครั้นพระองค์นิพพานไปแล้ว 2,500ปี พระศาสนาจะเริ่มถอยลง คนจะขาดความเคารพในพระธรรม พระภิกษุบางเหล่าจะแตกแยกกัน บางหมู่จะไปตั้งนิกายใหม่ บางหมู่จะนำเอาคำสอนของพระองค์ไปทำให้ไขว้เขว พระสงฆ์บางกลุ่มจะตั้งตนเป็นผู้วิเศษ ประพฤติตนเป็นมิจฉาทิฐิอลัชชี จะมีการหากินด้วยเดียรัจฉานวิชาต่างๆ คนทั้งหลายทำไร่นาลำบาก ท้าวพญาจะข่มเหงชาวบ้านชาวเมือง ความยุติธรรมจะบกพร่อง และเมื่อศาสนาของพระองค์มีอายุ 3,000 ปีแล้ว ท้าวพญาจะขัดแย้งกัน บ้านเมืองจะวุ่นวายฆ่าฟันกันไปทุกหย่อมหญ้า เกิดความแห้งแล้งและพืชผลจะตกต่ำ คนจะพากันล้มตายด้วยเหตุต่างๆ เป็นอันมาก และเมื่อโดยเฉพาะศาสนาของพระองค์พ้น 2,500 ปีไปแล้ว คนหลายๆ ครอบครัวจะได้ร่วมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน หญิงชายอายุถึงสิบปีก็จะมีผัวมีเมียกันแล้ว

ยามนั้นคนทั้งหลายจะไม่อ่อนน้อมต่อกัน และจะเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพงไปทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อศาสนาของพระองค์ล่วง 2,500 ปีไปแล้ว จะเกิดปัญหา "หมากน้ำเต้าจักจม หมากหินจักฟู" หมาจิ้งจอกจักไล่กัดเสือ ช้างจะพากันกินถ่านไฟแดง คนใจบุญใจกุศลจะต้องหาบ แต่คนใจบาปจะเดินตัวเปล่า พ่อค้าจะอาสาออกศึก น้ำไม่ลึกจะพากันทำที่ว่ายน้ำเล่น กบเขียดจะไล่กินงู พญาครุฑจะเป็นบริวารของกาดำ หมาจิ้งจอกจะกินอาหารจากถาดทอง และราชสีห์จะเป็นบริวารของหมาจิ้งจอก

ครั้งนั้นเทวดาถามว่า เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้ว พระองค์จะตั้งพระรัตนตรัยไว้อย่างไร ภายหน้าภายหลังไม่เสมอกันจะเป็นเหตุใด สัตว์ไม่เคยเกิดก็จะมี ที่มีแล้วก็จะเกิดมาอีก อันว่า หมากน้ำเต้าไม่เคยจมน้ำก็จักจม หมากหินซึ่งอยู่ใต้น้ำก็จักฟูลอยขึ้น จะเป็นด้วยเหตุใด

พระพุทธองค์ตอบว่า เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป 2,500 ปีแล้ว "หมากน้ำเต้าจม" ได้แก่ คนทั้งปวงที่เคยบวชและเรียนพระไตรปิฎกจนถ่องแท้แล้วนั้น ต่อมากลับทำบาปและไม่รักษาศีล อีกทั้งยังแนะให้คนอื่นหลงผิดจนตกนรกหมกไหม้เป็นอันมาก คนเหล่านั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็จะไปจมอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 อันว่า "หินจะลอยไปตามกระแสน้ำ" นั้น ได้แก่ คนบ้านนอกซึ่งไม่รู้จักพุทธศาสนาจะพากันละเลิกมิจฉาทิฐินั้นแล้วทำบุญรักษาศีล และสร้างคุณงามความดีแก่บ้านเมือง เป็นผู้ค้นคว้าเอาวิชาความรู้มาเผยแพร่แก่กุลบุตรกุลธิดาสืบไปอีก คนเหล่านั้นจักได้ชื่อว่า "หมากหินจักฟู" ต่อมาท้าวพญาจะแย่งชิงอำนาจกันและแตกเป็นพวกเป็นเหล่า เมื่อรบกันแล้วผู้มีกำลังน้อยก็จะจ้างชาวป่าชาวดอยมาเป็นกำลัง โดยบอกว่าหากตนชนะแล้ว จะตั้งให้มีอำนาจและได้ทรัพย์สินของผู้แพ้นั้น พวกท้าวพญาหรือเสนาอำมาตย์ที่อาศัยพวกโจรหรือชาวบ้านชาวป่ามาเป็นนักรบ ซึ่งเมื่อชนะแล้วก็ตั้งให้มีตำแหน่งหน้าที่และได้ลูกเมียของพวกผู้แพ้ไปสมสู่อยู่กินด้วย อันนี้เรียกว่า "ราชสีห์จักได้เป็นบริวารของหมาจิ้งจอก" ส่วนวงศาลูกเมียของพญาผู้เสียอำนาจนั้นก็เท่ากับว่า "พญาครุฑไปเป็นบริวารของกาดำ" และพวกโจรหรือนักเลงชาวป่าชาวดอย เมื่อไม่มีความรู้แต่มีอำนาจหน้าที่แล้ว ก็จะใช้แต่ความหยาบช้าหาศีลธรรมมิได้ คนดีมีความรู้ก็จะพากันหันหนีเข้าป่า คนอธรรมจะได้ครองเมือง และบ้านเมืองก็ระส่ำระสายเกิดกลียุค อันนี้เรียกว่า "กบเขียดไล่กินงู" คือเมื่อศาสนาของพระองค์ผ่าน 2,500 ปีไปแล้ว คนทั้งหลายก็จะเป็นทุกข์และเดือดร้อนฉิบหายกันมากนัก

เทวดาก็ทูลถามว่า หากเกิดเหตุเช่นนั้นจริง พระองค์จะให้พวกเทวดาทำอย่างไร พระพุทธองค์ตอบว่า หากคนยังเคารพและปฏิบัติตามในพระรัตนตรัยอยู่ ก็จะเป็นบุญของผู้นั้น แต่หากไม่ปฏิบัติตามก็เป็นกรรมของผู้นั้น จึงขอให้เทวดาทั้งหลายทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาฟังธรรมคำสอนของผู้รู้ สร้างกุศลและละเว้นจากบาป ทำจิตใจให้บริสุทธิ์แล้วตั้งจิตปรารถนาให้ได้พบพระพุทธอาริยเมตไตรย เทวดาทูลถามต่อว่า คนที่อยากพบพระอาริยเมตไตรยนั้นพึงทำอย่างไร พระพุทธองค์ก็ตอบว่าให้มั่นคงในการทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาแล้วตั้งความปรารถนาว่าให้ได้พบกับพระพุทธอาริยเมตไตรย ก็จะได้พบกับพระพุทธอาริยเมตไตรยเป็นแน่แท้ เมื่อเทวดาทั้งหลาย มีปัณณเทพเป็นประธานได้รับฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าดังกล่าวแล้ว ก็มีความชมชื่นยินดีมากนัก จึงพากันกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วอำลาคืนสู่วิมานของตน

บัดนี้...เป็นไปอย่างพุทธทำนายของพระพุทธองค์แล้วหรือยัง?

ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

พุทธพยากรณ์โลก

พุทธพยากรณ์โลก


พระพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ไว้กับ พระอานนท์ว่า อานันทะดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชน และบุคคลให้พินาศจะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก แต่ว่า อานันทะ ดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงนักยังหาไม่ได้
ทั้งนี้ ก็เพราะว่า หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว อานันทะ ดูกรอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึง คนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตาย ฝ่ายละมากๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เป็นอันว่า ท่านดามุสคนนี้ ก็พยากรณ์ไว้ตรง แต่เขาบอกว่า ค.ศ.๒๐๐๐ โลกจะสลาย แต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราบอกว่า โลก ยังไม่สลาย พระพุทธศาสนา จะทรงอยู่ได้ ตลอด ๕,๐๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพยากรณ์ ไว้ที่ พระธาตุดอยกิตติ ครั้งหนึ่งทรงตรัสว่า
"ชี้ว่าเขตประเทศนี้ ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปี" นี่หมาย ถึงประเทศไทย

เป็นอันว่า สงครามจะเกิดขึ้นที่ดามุสบอก ก็หมายถึงสงครามซีกตะวันตก หมายถึงอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ กับตะวันออกกลาง สงครามจริงๆ ยังคงไม่ถึงประเทศไทย

ทีนี้เรามาย้อนรอยถอยหลังกันก่อนว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตรัสรู้ว่า ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมี การรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ ไฟจะลุกจากอากาศ ก็เป็นความจริง ในขณะนั้นปรากฏว่า ลูกปืนกลจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดเพลิงบ้าง ทิ้งจากอากาศ ประเทศไทยเรา ก็พลอยยับเยิน ไม่น้อยเหมือนกัน เล่นเอาตู้รถไฟ ต้องไปขี่กัน ที่บางกอกน้อย ทั้งๆ ที่ตู้มันหนัก แต่แรงของระเบิด ดันตู้รถไฟจนไปขี่กัน ตึกบ้านเรือนโรงลำบากมาก
แต่ว่าสงครามนั้น เป็นเหตุบันดาลอย่างหนึ่ง นั่นคือว่า สร้างความทุกข์ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า สงคราม นี่ อาตมา ผู้พูดเอง ก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ เพราะว่า เคยอยู่ในระหว่างสงคราม ขณะนั้นอยู่กรุงเทพฯ แสงไฟฟ้าก็ใช้อะไรไม่ได้ ต้องใช้ตะเกียง ตะเกียงน้ำมันก๊าดไม่มีจะใช้ น้ำมันโซล่าก็หาไม่ได้ ต้องใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าวมาทำตะเกียง ของทุก อย่าง ของกินของใช้ต้องปันส่วน เพราะหาไม่ได้ จะได้ก็ของจากญี่ปุ่น เวลานั้นของเรามีน้อย เวลานี้โรงงานมีมาก แต่ก็ไม่ แน่นัก เพราะระเบิดจากอากาศก็ดีจรวดก็ดี หรือว่าระเบิดจากภาคพื้นดินก็ดี อาจจะเกิดกับโรงงานต่างๆ ในประเทศไทยได้ ถ้าสงครามเขา เกิดขึ้น

หากว่าท่านจะถามว่า ทำไมสงครามเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลางแล้วจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ทำไมไทยจึงต้องหวาด ระแวง ความจริงไม่ได้พูดให้ระแวง พูดให้ทราบ ตามความจริง หรือ ตามความรู้สึก นึกคิด ถ้าเรื่องนี้ผิด ก็ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าเป็นการคาดคะเน มากกว่าอย่างอื่น คิดว่าถ้าสงครามเกิดขึ้น ระหว่างสงครามศาสนา ก็จงอย่าลืมว่า ศาสนาที่อยู่ ระหว่างสงคราม ก็มีอยู่ในประเทศไทยทั้ง ๒ ศาสนา ถ้าเขารบกัน แต่เพียงภายนอกก็ดี แต่บังเอิญ คนที่นับถือศาสนานั้นๆ ทั้ง ๒ ศาสนาเกิดทะเลาะ วิวาท รบราฆ่าฟันกันในเขตของเรา เขตของเราก็ต้องยับเยิบไป เหมือนกับสนามหญ้ากับสุนัข ๒ ฝ่ายกัดกัน สนามหญ้าก็แหลก ถ้าบังเอิญเขารบกัน ก็ไม่เป็นไร ดีไม่ดีเขาจะชวนเรารบ เราจะรบหรือไม่รบ เขาก็จะรบหรือ ว่าเราไม่รบ เขาก็ไม่รบ แต่เขายึด เรายอมให้เขายึดไหม ในส่วนต่างๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศไทย

สำหรับความนึกคิด ในเวลานี้ ไม่ใช่หมอดูนะ ไม่ใช่พยากรณ์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักอะไรทั้งหมด เป็นแต่การคาดคะเนว่า เหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้น อาการต่าง ๆ ที่ปรากฏในปัจจุบันจะฟูขึ้น เพราะรับการสนับสนุนเรื่องการเงิน กำลังอาวุธจากที่อื่น จากนั้นเหล่าทหารตำรวจของเรา ก็ต้องเคลื่อนกำลังเข้าไปรักษาเขต ทีนี้เขตต่อเขต เขตยันเขต เขตที่เขาก่อขึ้นเป็นเขตในประเทศไทย และเขตต่อไปข้างหน้า ก็เป็นเขตที่เขาพวกเดียวกัน อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ลองวาดภาพกันดู ถ้ามันเกิดจริงๆ ตามเขาว่านะ อันนี้ไม่ได้รับรองว่า มันจะเกิดจริงหรือไม่

ถ้าเกิดจริงส่วนประเทศไทย ทุกจุดทุกภาค ก็มีบุคคลที่ถือ ศาสนาตรงกันข้าม กับพระพุทธศาสนา ก็มีกำลังสูงขึ้น ที่เขาโต้กันที่เชียงใหม่ อภิปรายก่อนหน้าที่จะพูดนี้ไม่ถึงเดือน เขาโต้กันถึงหลักสูตรการศึกษาว่า

หลักสูตรพระพุทธศาสนา ถูกลดลงไป หลักสูตรศาสนาอื่น เข้ามาแทน อย่างนี้ก็ต้องมีอาการ น่าคิดว่า เขาวางแผนล่วงหน้าไว้ไกลมาก หรือว่าเป็นการวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน โดยเฉพาะระยะใกล้ก็ได้

ก็เป็นอันว่า ในเมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้น ทางด้านตะวันออกกลาง ทีนี้ เศษสงครามมันก็อาจจะเข้ามาถึงประเทศไทย ต่อไปก็เป็นการเดาอีก ขอเดานะ ไม่ได้พูดตรงๆ จะหาว่าดูผิดก็ไม่ได้ เดามันผิดได้ ขอเดาว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ แต่ความจริงเวลานี้ ยังไม่มีใครจะให้เกิด เวลาที่พูดนี่นะ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ แต่กว่าหนังสือนี่จะออกถึงเดือนมีนาคม ถ้าสงครามเกิดก็เกิดแล้ว ไม่เกิดก็ไม่เกิด ในระหว่างนี้ต่างคนต่างมองต่างคนต่างพูด แสดงเรื่องการเมือง เอาเหตุผลต่างๆ มาหักล้างกัน ก็ไม่แน่นักว่ามันจะเกิด ก็อยากจะบนบานศาลกล่าวว่ามันไม่เกิดนั่นแหละเป็นการดี แต่ทว่าพระดำรัสของ องค์สมเด็จพระชินสีห์ ไม่เคยผิด แต่ว่าท่านไม่ได้บอก พ.ศ.

เป็นอันว่าประเทศไทยก็จะถูกหาง หรือท้ายฝน ละอองฝนจากสงคราม ก็เป็นอันว่าเราถูกละอองฝน ดินแดนเราก็จะไม่เสีย แต่ว่าชีวิตคนอาจจะเสียไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าห่วง ก็คือ ของกินของใช้ ราคามันจะแพงมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราต้องใช้น้ำมัน โรงงานต่างๆ ต้องใช้น้ำมัน ในเมื่อสงครามเกิดขึ้น ในเขตของบ่อน้ำมัน เราจะมีโอกาสซื้อน้ำมันได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่

ท่านดามุส ท่านบอกว่า อำนาจของฝ่ายน้ำมัน มีอำนาจมาก สามารถเอาอาวุธ ใส่ในท้องปลา ไปยิงที่ไหนก็ได้ นั่นหมายถึง เรือดำน้ำ ถ้าเราส่งเรือไปซื้อของในเขตใดเขตหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของศัตรูของเขาเรือดำน้ำของเขา ก็อาจจะยิงเรือพาณิชย์ ของเราก็ได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คนที่พบระหว่างสงคราม จะมีความรู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ แต่ว่า ขอยืนยัน บรรดาท่าน พุทธบริษัทว่า สิ่งที่เราไม่ต้องกลัวอย่างหนึ่งคือ เขาประกาศบอกว่า การสงครามนี้เขาจะใช้อาวุธเคมีบ้าง จะใช้นิวเคลียร์บ้าง จะใช้นิวตรอนบ้าง อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ น่ากลัวจริงๆ แต่สำหรับความรูสึกของผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของๆ ท่าน ทุกชิ้นที่ผลิตออกมา ท่านบอกว่า กันรังสีต่างๆ ได้หมด รังสีต่างๆ จะไม่สามารถกระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีของของท่านได้ ที่ท่านทำให้นะ

ก็เป็นอันว่า ท่านยืนยันมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๑ และท่านทำทุกครั้ง ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่างๆ ไม่ต้องกลัวเลย รังสีจะไม่เข้าใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให้ของนั้นอยู่ไหน ก็หาเอาเองก็แล้วกัน ของนั้นจะขอบอกเป็นนัยๆ เอาตรงๆ เลย ก็ได้คือ พุทธานุสสติ นั่นคือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหาย ใจออกนึกถึง โธ ก่อนจะออกจากบ้าน ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า พุทโธ ก่อนอธิษฐานขอความปลอดภัยก่อน จะไปก็เสกน้ำลาย ด้วยกำลังของพุทโธสัก ๓ ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไป หรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน หรือว่าถ้าทำอย่างนั้น ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ติดกับร่างกาย แต่ต้องอาราธนาทุกวัน ว่า นะโม ตัสสะฯ 3 ครั้ง แล้วก็ว่า พุทโธ เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่างๆ แม้แต่สะเก็ดระเบิด หรือว่ากระสุนปืนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมี พุทธานุสสติ เป็นกำลังใจ

ทีนี้เรามาคุยกันต่อไปนี่มันเรื่องคุยนะ ถ้าบังเอิญเวลานี้มีอิรักตั้งท่ายัน อิรักปรากฏว่า ประกาศว่ามีคน ๑๘ ล้าน แต่ทว่า อิรัก อิรักอิหร่านนี่รบกันมาประมาณ ๘ ปี พออเมริกาส่งกำลังเข้ามาในอ่าวเปอร์เซีย อิรักอิหร่านดีกันฉิบ พื้นที่ของอิหร่านที่อิรัก ยึดได้ ก็พันตารางไมล์ก็ตาม คืนให้หมดปล่อยเชลยให้หมด เวลานี้ศัตรูกับศัตรู อิรักกับอิหร่านเป็นมิตรกัน อิหร่านก็เข้ากับอิรัก ไม่เห็นด้วยที่อเมริกา จะเอาวัฒนธรรมของเธอ มาใช้ในตะวันออกกลาง เขาถือว่า ผิดกฏของพระศาสนานี่ป็นอันว่า อิรักก็มีเพื่อน เข้าอีกหนึ่งประเทศ คือ อิหร่าน อิหร่านนี่ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน หนักเหมือนกัน แล้วต่อมาอย่าลืมว่า สายเลือด ที่ร่วมกันมา เขาอาจจะไม่ทิ้งกันนั่นคือศาสนา คนที่นับถือศาสนาร่วมกัน อาจจะร่วมมือกันภายหลัง อย่างนี้สงครามใหญ่จะ เกิดขึ้น ซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ของพระท่าน

ในปีที่ญวนแตกอเมริกาหนีกลับบ้าน ปีนั้นก็ถามพระท่านว่า หลังจากนี้จะมีอะไรบ้าง สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นไหม ท่านบอกว่า คำว่าสงครามโลก ยังไม่เกิด คำว่าสงครามโลกนั่นหมายถึงว่า ทั้งโลกแบ่งกันเป็น ๒ พวก ร่วมกันทั้งหมด แล้วก็ตีกันในระหว่างฝ่ายต่อฝ่าย คือตีกันรบกันอย่างนี้เรียกว่า สงครามโลก แต่สงครามครั้งที่จะเกิดทางด้านตะวันออกกลาง ท่านบอกตรงว่า จะเกิดที่ด้านตะวันออกกลาง เขายังไม่เรียกว่าสงครามโลก เขาเรียกว่าสงครามใหญ่ สงครามใหญ่คราวนี้จะ มีความร้ายแรงไม่น้อย ร้ายแรงกว่าสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้บอกอย่างดามุสว่า ถึงแม้อเมริกาอาจจะถูกนิวเคลียร์ ท่านไม่ได้บอกไว้ คือไม่ได้ถาม

รวมความว่าคำพยากรณ์ของท่านที่พยากรณ์ว่าจะเกิดที่ตะวันออกกลางก็ตรงแล้ว เวลานี้ตะวันออกกลางจะมีสงคราม อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสงครามเศรษฐกิจ เริ่มบีบรัดกันขึ้นมาการถูกบีบนี่ บรรดาท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน สมัยเยอรมันก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี อิตาลีก็ดี ที่ต้องประกาศเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เพราะว่า การถูกบีบคั้นจากโลกตะวันตกหรือหลายๆ ประเทศ ที่เรียกกัน ว่า สันนิบาตชาติ ในเวลานั้นทั้ง ๓ ประเทศ ลาออกจากสันนิบาตชาติ สันนิบาตชาติ ต่างคนต่างบีบคั้นต่างๆ หาทางกลั่นแกล้ง ถ้าไม่รบก็อดตายมีความจำเป็นต้องรบ หมายถึงว่า ยอมเสี่ยง ยอมเสี่ยงการเสียอิรภาพ การเสียประเทศจะต้อง เป็นเมืองขึ้นเขากับความตาย ทีนี้การรบความตายมันก็เกิด แต่เกิดเฉพาะบุคคลบางกลุ่มที่เป็นทหาร และบุคคลที่อยู่ใกล้จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกระเบิด คนนอกนั้นจะไม่ตาย ถ้าไม่รบ ความอดเกิดขึ้น มันจะตายทั้งประเทศ เขาต้องตัดสินใจรบ เรื่อง สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีฉันใด เวลานี้อิรักกับอิหร่าน กำลังจับมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนามุสลิมเขาเป็นศาสนาที่มีความรักกันมาก

อย่างตอนใต้ประเทศไทย คราวนั้นฟังข่าวจากทางโทรทัศน์ จากท่านพันเอกณรงค์ กิตติขจร ท่านบอกว่า ใครล่ะ พันเอกกัดดาฟี มั้ง ถ้าพูดชื่อผิด ขออภัยด้วย ท่านเคยไปเจรจากัน บอกว่า อย่ามายุ่งกับประเทศไทยเลย แต่เขาบอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งด้วย แต่ที่ยุ่งนั้นเป็นเรื่องของศาสนา ที่จะให้มีการแบ่งแยกประเทศไทย ออกเป็นของมุสลิมส่วนหนึ่ง ของไทยส่วนหนึ่ง เขาหวัง ๔ จังหวัด แต่ความจริงถ้าเขายึด ๔ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๘ จังหวัด ถ้า ๘ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๑๖ จังหวัด ผลที่สุดเขาต้องการยึดทั้งหมดทั้งประเทศไทย ความพอใจของคนไม่มีฉันใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าสงครามเกิดขึ้น ถ้าเราจำเป็น ต้องเสียดินแดน เรื่องเสียเฉพาะน่ะ ไม่มีแน่นอน มันต้องเสียกันเรื่อยไป เวลานี้เรา ก็ไม่มีพอที่จะเสียแล้ว แต่ที่พูดนี่ ก็ไม่ได้หมายความว่า สงครามจะเกิดจริง สมมติว่า ถ้ามันจะเกิดทีนี้เรื่องของศาสนา ก็จะเกิดขึ้นที่พูดนี่ไม่ได้ยุให้คน ๒ ศาสนาทะเลาะกันนะ เป็นแต่เพียงว่าท่านณรงค์ท่านบอกว่า ท่านไปพูดกับประธานาธิบดีของเขา ประธานาธิบดีของเขาก็บอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งเป็นเรื่องของศาสนา ทีนี้ศาสนาจะเอาเงินมาจากไหน ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน

รวมความว่า หันมาคุยกันในประเทศไทย ถ้าสงครามเกิดขึ้นจริงๆ เราจะเป็นอย่างไร ประการแรก เรายังพูดถึงศาสนาก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ เราจะหนักเรื่อง น้ำมัน นิดหน่อย แต่ว่าน้ำมันในประเทศไทย ถ้าเร่งรัดจริงๆ จะเหลือใช้ เพราะอะไร เพราะว่าน้ำมันในประเทศไทยนี่มีมาก การเจาะ บรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ที่พูดนี่ก็ขอเดา คิดว่าท่านที่เจาะเขาคงจะเจาะไม่ถึงเพดานจริงๆ ของน้ำมัน รวมความว่า ถังน้ำมันถังใหญ่จริงๆ น่ะ เราจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว ประเทศจีน เขาก็มีน้ำมันเขาอยู่สูงกว่าเรา ประเทศพม่าก็มีน้ำมัน อินโดนีเซียก็มีน้ำมัน แล้วก็ไทยล่ะอยู่กลางทำไมจะไม่มีน้ำมัน

ทีนี้เวลานี้การเจาะน้ำมัน การดูดน้ำมันเขาว่าได้น้อย แต่ความรู้สึกของผู้พูด หรือตามข่าวหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่าความจริงประมาณน้ำมันที่ได้ มันมากกว่าข่าวที่เขาแจ้งมา ข้อนี้จะเท็จจริงประการใดก็ไม่ทราบ สุดแล้วแต่หนังสือพิมพ์ แต่เขาบอกว่าเขาแจ้งได้น้อย ก็ยังมีอีกหลายหลุมที่เขาเจาะพบแล้ว เขาบอกว่าไม่พอกับเชิงพาณิชย์ จึงไม่ยอมดูดขึ้นมา นี่ก็เป็นลีลาของพ่อค้าเป็นของธรรมดา ถ้ากำไรน้อยเขาจะไม่เอา หรือจะมาพูดกันอีกทีหนึ่ง

เวลานี้ทราบว่า คนไทยศึกษาเรื่องวิชาการเจาะน้ำมันมาได้ดีแล้ว มีความชำนาญพอแล้ว แล้วก็กำลังจะเจาะก่อน หนังสือจะออกคงจะเจาะแล้วละมั้ง เจาะก๊าซที่สงขลาใกล้ๆ กับบ่อเดิม จะเอาก๊าซมารวมกัน เข้ากับท่อเดียวกัน ขึ้นมาใช้จะได้มีปริมาณสูง ถ้าบังเอิญท่าน หรือนายทุนท่านใดท่านหนึ่ง ในพื้นที่ ที่ไม่มีสัญญาประมูลกับบริษัทต่างๆ แต่น้ำมันมีมาก ปริมาณของประเทศไทยนี่ ถ้าจะลองเจาะอย่างต่างประเทศเขา เอาที่ใดที่หนึ่งก็ได้สักที่หนึ่ง ที่พูดนี่เป็นการสมมติกันนะ จะเชื่อหรือไม่สมควรเชื่อ
เพราะความรู้สึกว่ามีอยู่ว่าการเจาะที่แล้วมา เขาเจาะกันยังไม่ถึงฝาผนังหรือเพดาน ของถังน้ำมัน ซึ่งมันเป็น ถังใหญ่คลุมจักรวาล มันเป็นทะเลอีกชั้นหนึ่งต่างหาก คือเป็นทะเลน้ำมันจริงๆ ประเทศไทยตั้งอยู่เหนือทะเล น้ำมันจีน ก็เช่นเดียวกันแล้วก็พม่าก็เหมือนกัน อินโดนีเซียก็เหมือนกัน มาเลเซียก็เหมือนกัน บรูไนก็เหมือนกัน มันเป็นถังถังเดียวกัน ถ้าบังเอิญ เราจะเจาะอย่างอังกฤษ ที่เขาบอกว่า อังกฤษเจาะที่ทะเลเหนือ เจาะลง ไปลึกลงไปใต้ดินถึง ๖ กิโลเมตร ก็ได้น้ำมันขึ้นมาเพียงพอ
แต่ประเทศไทยเราสำรวจแล้วว่า ที่ใดที่หนึ่งมีน้ำมันพอที่จะเจาะได้ ก็ลองเจาะสัก ๖ กิโลเมตร จะมีผลเป็นประการใดเรื่อง นี้ก็ลองถามท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ท่านมีความชำนาญในด้านนี้มาก ก็เรียกว่าดร.สรรพศาสตร์ ท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ถ้าเจาะลงไปถึง ๖ กิโลเมตร ในถังน้ำมันที่มีพื้นแผ่นดินหนา หมายความว่า หลังถังน่ะลึกลงไป เจาะลงไปแค่ ๓ กิโลเมตร จะถึงผิวถังน้ำมัน หรือหลังคาน้ำมัน ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ไอ้ท่อที่เจาะลงไปนั้น จะจมไปในตัวถังน้ำมัน บ่อน้ำมันจริงๆ ครึ่งกิโลเมตร ถ้าเจาะในที่ตื้น ที่บางจุดอยู่ไม่ไกลกรุงเทพนัก ในที่นี้ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ท่อจะจมลงไปในเขตของน้ำมัน ประมาณ ๖ กิโลเมตร ถามว่า ดร.สรรพศาสตร์ ถ้าเราจะดูดใช้อย่างปัจจุบันนี่ ถ้าทำอย่างนั้นจะใช้ได้สักกี่ปี ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอา ๓๐ เท่าของปัจจุบันใช้ไป ๕,๐๐๐ ปี น้ำมันยังไม่หมด ปริมาณยังไม่ลด

นี่แหละบรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ถ้าบังเอิญท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านพยากรณ์ตามความรู้ของท่าน ถ้าตรงตามนี้ประเทศไทยเราก็ไม่จน อย่างอื่นจะไม่มีก็ไม่เป็นไร ไฟของเรามีน้ำมันเราก็ถูก อุตสาหกรรมของเราลงทุนถูก เพราะน้ำมันถูก เราจะขายต่างชาติได้ดี ระยะนั้นประเทศไทยเราจะรวย

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราคุยกันมาวันนี้ก็ป่วย แต่เกรงว่าเล่มที่ ๑๘ นี่จะไม่ครบ ทำไปแล้ว บ้างตามสมควร แต่ไม่แน่ใจ ว่าจะครบหรือไม่ครบ ก็ลุกขึ้นมาทำหันไปดูเวลาเหลือเวลาประมาณนาทีเศษ ก็ขอเตือนบรรดาญาติโยม พุทธบริษัท ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า จงอย่าหวั่นไหว ต่อสงคราม ขอยืนยันว่า ถึงแม้ว่าสงครามจะเกิด ก็จริงแหล่แต่ทว่าเราจะไม่ตายเพราะสงครามโลก เราจะไม่อดตายเพราะสงครามโลก และนักเกษตรศาสตร์ก็ดี นักเกษตรศาสตร์นี่จะมีโชคดีมากคือจะรวย ข้าวจะแพง พวกที่เลี้ยงสัตว์ก็ดี ราคาจะแพง จะรวยทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีความประมาท บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเทศไทยจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์

ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

บทความที่ได้รับความนิยม