วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

สัตว์ตายปริศนา สัญญาณโลกาวินาศ?

สัตว์ตายปริศนา สัญญาณโลกาวินาศ?






กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วโลก สำหรับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เมื่อหลายพื้นที่บนโลกได้เผชิญกับภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เผชิญกับความแปรปรวนของสภาพอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกมากมาย จึงไม่แปลกที่จะเกิดคำถามที่ว่า สิ่งเหล่านี้คล้ายกับจะเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังมาถึงจุดเปลี่ยนอย่างเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ หรือไม่

และล่าสุด เหตุการณ์แปลกประหลาดซึ่งได้กลายเป็นปริศนาของคนทั่วโลกไปอีกหนึ่งประเด็นในขณะนี้ ก็คือ เหตุการณ์สัตว์ในหลายพื้นที่ตายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เริ่มจากที่มลรัฐอาร์คันซอส์ สหรัฐฯ มีนกแบล็กเบิร์ดกว่า 5,000 ตัวตกลงมาตายเกลื่อนถนน ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ขณะที่ปลาดรัมฟิชกว่า 100,000 ตัว ก็ตายเกลื่อนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ในช่วงเวลาเดียวกัน สร้างความฉงนสงสัยให้กับชาวเมืองเป็นอย่างมาก เพราะมีเพียงนกแบล็กเบิร์ดกับปลาดรัมฟิชเท่านั้นที่ตาย ส่วนปลาและนกชนิดอื่นไม่ได้มีรายงานแต่อย่างใด ขณะที่ในเคนตั๊กกี้ ก็มีนกตายให้เห็นประปราย โดยได้รับการเปิดเผยจากหญิงสาวคนหนึ่งว่า มีนกตกลงมาตายบริเวณบ้านของเธอ 10 กว่าตัวเลยทีเดียว และที่หลุยเซียน่า นกแบล็กเบิร์ดปีกแดง นกสตาร์ลิ่ง และนกกระจอก รวมแล้วกว่า 5,000 ตัว ก็ตกลงมาตายเกลื่อนในช่วงปีใหม่ และนอกจากนี้รัฐอื่น ๆ ในสหรัฐฯ ก็มีนกและปลาตายเช่นกัน ได้แก่ อิลลินอยส์ เทนเนสซี มิสซิสสิปปี้ แมร์รี่แลนด์ และมิสซูรี

ส่วนในประเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรปก็ไม่ต่างกัน โดยในประเทศอิตาลีได้มีนกพิราบตกมาตายหลายพันตัว และทางตอนใต้ของสวีเดนที่กำลังเผชิญกับอากาศหนาวเย็น ก็มีนกตกลงมาตายบนกองหิมะอีกหลายร้อยตัว ขณะที่ในประเทศบราซิล ก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่ก็มีปลาซาร์ดีน ปลาโคร๊กเกอร์ และปลาดุก รวมกว่า 100 ตันตายอยู่ในทะเลอย่างไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งการที่ปลาตาย จำนวนมากครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนชาวประมง ในเมืองปารานา เพราะว่าต้องหยุดหาปลา ทำให้ขาดรายได้ พร้อมกับเกิดความวิตกว่า จะเกิดโรคระบาดในปลา และสัตว์ทะเลอื่น ๆ ส่วนที่นิวซีแลนด์ ปลากะพงหลายร้อยตัวลอยแพกันมาตายเกยตื้นอยู่บริเวณชายหาดเพนนินซูลา สร้างความตกอกตกใจให้กับบรรดานักท่องเที่ยวไม่น้อย

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีสัตว์ตายเกลื่อนมาตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ เช่น ในเวียดนาม ได้มีปลาหลายพันตัวลอยแพขึ้นเหนือน้ำ สร้างความประหลาดใจให้กับชาวบ้าน และพวกเขาไม่สามารถจับปลาสดไปขายได้อีก และก่อนหน้านั้น เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ก็มีจระเข้ เต่า ปลาโลมา และสัตว์น้ำอีกหลายชนิดลอยตายเกลื่อนในทะเลสาบและแม่น้ำในประเทศโบลิเวีย

อย่างไรก็ตาม การตายของสัตว์ต่าง ๆ ยังอยู่ระหว่างการชันสูตรเพื่อค้นหาสาเหตุการตายที่แท้จริง ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ในช่วงนี้ก็มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุการตายของสัตว์เหล่านี้มากมาย บ้างก็ว่าเป็นเพราะนกตกใจเสียงพลุและแสงสีช่วงปีใหม่ บ้างก็ว่าเกิดจากมลพิษในอากาศและน้ำ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ตั้งคำถามขึ้นมาอีกว่า ถ้าหากเป็นเพราะเสียงพลุและแสงสีจากเทศกาลปีใหม่จริง เหตุใดจึงเพิ่งเกิดเหตุการณ์นกตกลงมาตายเกลื่อนในปีนี้ เมื่อเทศกาลปีใหม่ก็จัดในรูปแบบเดียวกันกับทุกปี และถ้าหากเกิดจากมลพิษในอากาศและน้ำ เหตุใดในอีกหลายพื้นที่ที่มีมลพิษมากกว่าจึงไม่เผชิญกับปัญหาเดียวกัน

สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้ ที่เป็นข้อสันนิษฐานที่ยังไม่มีคำถามใด ๆ ตามมา นั่นก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก ที่กำลังกลับขั้วสลับตำแหน่งกัน ซึ่งการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกนั้น จะส่งผลให้ความเข้มข้นของแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง จนทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ดังนี้

1. ภัยพิบัติบนผิวโลก เช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม สึนามิ อันเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก และเกิดภัยธรรมชาติอีกมากมาย เนื่องจากการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะทำให้ทุกสิ่งบนโลกเปลี่ยนทิศทาง เช่น กระแสน้ำ กระแสลม

2. โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น เมื่อสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง การแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ก็เพิ่มปริมาณมากขึ้นถึงระดับอันตราย ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนสิ่งมีชีวิตบางประเภทปรับตัวไม่ทัน และเกิดพายุสุริยะ

3. ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างบนโลกจะทำงานผิดปกติ

4. ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายสัตว์อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงมนุษย์ด้วย ทำให้สัตว์หลายชนิดอ่อนแอและล้มตายดังที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยในระยะเริ่มต้น สัตว์เล็กจะล้มตายก่อน เมื่อความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กอ่อนแอถึงขั้นรุนแรง สัตว์ใหญ่และมนุษย์ก็จะล้มตายไปตาม ๆ กัน

5. วัตถุในอวกาศตกสู่ผิวโลก เมื่อสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง แรงดึงดูดของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป วัตถุต่าง ๆ ในห้วงอวกาศจะเคลื่อนที่เข้ามาสู่ผิวโลกได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ แม้จะไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่า การตายปริศนาของสัตว์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นจากการที่สนามแม่เหล็กโลกกลับขั้ว แต่หากพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็จะพบว่ามีภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้น สร้างความเสียหายให้กับมนุษย์อย่างมากมาย อีกทั้งโลกก็ยังมีอุณหภูมิสูงขึ้นทุกวันและเกิดพายุสุริยะในบางพื้นที่ ดังนั้น ก็อาจเป็นไปได้ว่าการตายของสัตว์ที่เกิดขึ้นนี้ อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่แสดงให้เห็นว่า โลกใบนี้กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และกำลัง "เริ่มต้น" นับถอยหลังสู่จุดหายนะที่เรียกว่ายุคโลกาวินาศอีกครั้งตามวัฏจักรของโลก หลังจากที่มันเคยเกิดขึ้นและทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สาบสูญไปมาแล้วเมื่อหลายล้านปีก่อน

ข่าวนกตายในหลุยเซียน่า




ข่าวพบนกตายในหลุยเซียน่า เคนตั๊กกี้ และอาร์คันซอส์




ข่าวนกตายเกลื่อนบนถนนในหลุยเซียน่า



ข่าวนกตายในสวีเดน




ข่าวปลาตายในรัฐแมร์รี่แลนด์




ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/55022

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ - พุทธพยากรณ์โลก


หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ - พุทธพยากรณ์โลก

ลองตั้งใจฟังดูดีๆนะครับแล้วลองพิจารณาดูแล้ว
เทียบกับสถานการ์ณที่กำลังเกิดอยู่ในปัจจุบันนี้
และไว้ดูเป็นแนวของสิ่งที่จะเกิดในอณาคตโดยเฉพาะให้สังเกตุว่า

เทปบันทุกเสียงนี้ได้ถูกบันทึกไว้สิบกว่าปี
มาแล้วแต่ว่าหลวงพ่อท่านได้
กล่าวถึงปัญหาในภาคใต้ไว้แล้ว
...และอื่นๆอีกมาก ! ลองตั้งใจฟังดูดีๆครับ
แล้วจะค้นพบอะไรมากมาย

พิบัติทำนายฉบับลาว

พิบัติทำนายฉบับลาว



คงจำกันได้ ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาข่าวภัยพิบัติธรรมชาติจากอุตรดิตถ์ ไปจนถึงยอร์คจาร์การ์ตา อินโดนีเซีย ทำลายทรัพย์สินและคร่าชีวิตผู้คนมากมาย

ก่อนนั้นบ่ายวันหนึ่งต้นเดือนพฤษภาคมผมนั่งหลบร้อนอยู่ใต้ถุน จู่ๆก็มีเพื่อนบ้านเดินมาแจกเอกสาร2 เล่ม ลักษณะเป็นกระดาษเอ4 ซีรอกซ์ เย็บง่ายๆ ปกใช้กระดาษปอนด์สีฟ้าตัวพิมพ์คอมพิวเตอร์ ข้อความบนปกบอกว่าเป็นคัมภีร์ใบลานอักขระธรรมจากภูค้อของสามเณรคำ อีกเล่มเป็นกระดาษเอ4 พับครึ่งปกสีเดียวกันเป็นบทสวดใช้คู่กับเล่มแรก

เพื่อนบ้านคนนั้นระบุว่าต้องการฝากเอกสารฉบับดังกล่าวให้พ่อ(ของผม) ผมก็รับนำไปให้ท่าน ส่วนเขารีบเดินจากไปคงไปแจกต่อ

ครั้นพ่อรู้ว่าใครมาแจกก็ยิ้มๆอยู่ พูดงึมงำอะไรอยู่ในคอไม่ทันฟัง อ่านครู่หนึ่งก็วางแล้วกลับไปดูมวยช่วงเจ็ดสีต่อ ผมว่างมากวันนั้นก็ถือโอกาสนั่งพลิกๆอ่านเล่น พบเรื่องตื่นเต้นจริงบ้างเล่นบ้าง คล้ายเรื่องในอินเตอร์เนท ข่าวลือ จริง ลวง เท็จอย่างไร เผยแพร่ด้วยวัตถุประสงค์อันใด ไม่รู้ไม่มีที่มาชัดแจ้งนัก ที่ผมสนใจนี่เป็นการเผยแพร่แบบดั้งเดิมแบบชาวบ้านจริงๆ นี่แหละ (เดินแจก) ไม่ต้องพึ่งความเร็วของสื่อยุคใหม่ มาไกลเหมือนกัน และคงสร้างความเชื่อและแตกตื่นระดับหนึ่ง

ที่มาที่ไป ต้องการอะไร ใครได้ประโยชน์ เชื่อหรือไม่เชื่อไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้

หนังสือใบลานนี้ระบุว่าตกลงมาสู่วัดแห่งหนึ่งในแขวงอัตะปือ(น่าจะเป็นประเทศลาว)

ข้อความเริ่มที่ ....ข้าพเจ้า(คนเขียนเผยแพร่) บอกว่าได้รับรู้จากพระอาจารย์ ผู้ทรงศีลองค์หนึ่ง เผยแพร่ให้ทราบจึงเกิดศรัทธ่เสียสละทรัพย์ส่วนตัวพิมพ์แจกจ่ายมายังชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อเป็นการกุศล และพิจารณาด้วยตนเอง ถึงมหันตภัยของโลกาภิวัตน์ซึ่งจะเกิดขึ้นตามพุทธทำนาย

ผม พลิกดูข้อความก็พบว่าเป็นการทำนายหายนะต่างๆที่จะเกิดขึ้น คัดมาเพียงบางตอนดังนี้

..ในปีระกา ปีจอนี้ มีเรือนแล้วจะไม่มีคนอยู่ มีนาไม่มีคนทำ เดือนเจ็ดจะมีงูเต็มไปทั่ว
ถึงเดือนสิบเอ็ด คนบาปจะตายเพราะไม่ซื่อสัตย์ จะมีภัยต่างดังนี้1.จะมีสงครามเกิดขึ้นทางน้ำ ,ท่าน้ำจะมีอันตราย
2.จะเกิดนอนไม่หลับ
3.ผัวเมียจะไม่เห็นหน้ากัน
4.ทั้งลูกทั้งหลานจะไม่เห็นหน้ากัน
5.คนจะตายทั่วทั้งทวีป

แต่ว่าการตาย จะไม่มีคนฝัง คนเผา ไม่มีผ้านุ่งผ้าถุง มีข้าวไม่มีคนกิน เพราะการกระ
ทำบาปทั้งหลายในจำนวนคนหนึ่งหมื่นคนจะตายเหลือแค่หนึ่งพันคนเท่านั้น จะ
เกิดโจรผู้ร้ายเรียกค่าคุ้มครอง เสือร้ายต่างๆ จะเกิดขึ้นสี่ห้า หกปี ไปจนถึงปีชวดก็จะหมดกั
นแล้ว บ้านเมืองไม่สบายในห้าปีนี้ มันร้อนเต็มที่แลฯ .....

ยังมีภัยอีกอย่างว่า ถ้ามีคนมาเรียกอย่าขาน กลัวผีมัมาเห็นเดือนหกออกใหม่ค่ำหนึ่งกับเดือนแรมเก้าไม่ให้ตักน้ำ ให้ตักไว้ก่อน กลัวผีมันเอายาใส่กินแล้วตาย ........

น้ำอุบาทว์จะท่วมโลกโดยบังเอิญทั่วทั้งทวีป คิดกลัวจะไม่ถึงปีระกาและปีชวด ถ้าไม่เชื่อเดือนสิบสองจะบันดลให้คนไออกเลือดแล้วตาย .......

ในปีจอต่อปีกุน ยามเดือนแจ้งจะเกิดมีงูพิษออกมาฉกกัดให้ตาย ฝูงชนทั้งหลายจะได้รับความเดือดร้อนหลายประการ เช่น ทุกข์ยากร้อนเพราะศึกสงครามไม่เสร็จสิ้น ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีน้ำมีไฟ ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีใครดูแลใคร ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีใครอยู่ทุ่งไร่นา ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีผู้เฒ่าผู้แก่ ทุกข์ยากร้อนเพราะไปต่างประเทศสะดวก ทุกข์ยากร้อนนอนไม่หลับ

ในปีจอนี้เมืองเวียงจันทร์จะมีองค์ฤาษีทองคำ ลาสิกขาบวชมาเป็นพ่อค้า ในปีจอออกใหม่ 8 ค่ำ ห้ามไม่ให้ต้กน้ำอาบน้ำกิน ตามห้วยหนอง คลองบึง หลังพระอาทิตย์ตกดิน หรือก่อนมืดค่ำ พระยายมราชจะนำเอายาพิษพ่นลงมายังโลกมนุษย์
ในปีจอนี้เมืองกรุงเทพมหานครจะพังทลาย ในเวลาไก่ขัน......
พระอินทร์จะลงโทษกับมนุษย์ใจบาป 9 ข้อนับแต่ปีจอถึงปีกุนคือ
1.จะทำให้เกิดภัย ลมแรง แผ่นดินไหว
2.จะเกิดไฟไหม้
3.จะเกิดน้ำท่วม
4.จะเกิดฟ้าผ่า
5.จะทำให้เกิดเดือดร้อน ร้อนหลาย หนาวหลาย
6.จะเกิดสารพิษต่างๆ อากาศ อาหารเป็นพิษ
7.จะเกิดสารโรค พยาธิร้าย
8.จะเกิดอดอยาก
9.จะเกิดอาฆาต ฆ่าฟันกันเอง สำหรับคนบาป

มหันตภัย 9 อย่างนี้ จะหลุดพ้นแต่บุคคลผ็มีใจบุญใจกุศล ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น...

จะเกิดภัยพิบัติในระยะไม่กี่ปีนี้ และมีภัยอีกอย่างหนึ่ง คนบาปมากในที่ต่างๆ มาทำให้เกิดพิษแก่ข้าว ถั่ว งา ให้เป็นพิษ ทำนาไม่ได้ข้าว ปลูกถั่ว งา ไม่มีผล ไม่มีหน่วย เงินสามสิบบาทซื้อข้าวไม่พออิ่ม คนจะอดอยากจะตายเพราะอดข้าว อีกอย่างหนึ่งจะตายทางน้ำมาก เช่นฝนตกลงมาเป็นพิษ ถูกเนื้อตัวเป็นผื่นคัน เป็นเม็ด เกิดน้ำเหลืองหรือเปื่อยเน่ารักษาไม่หาย อีกอย่างหนึ่งจะมีโจรผู้ร้ายใจบาปมาก ฆ่าพ่อ ตีแม่ตนเองเหยียบย่ำศาสนา ใจบาปทำความเดือดร้อนเรียกค่าคุ้มครองทั่วๆไปจนเกิดความหวาดกลัวและยังมีภัยเกิดจากสงคราม ทำให้คนทั่วทวีปล้มตายกันมากแท้ จะหนีไปอยู่ในป่า ในแนว ในหลุมก็ตายไม่เหลือ แล้วจะเกิดอุบาทว์ ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงกระทันหัน เป็ดไก่ วัว ควาย จะตายมาก แม้คนก็จะตายตาม แล้วห้าทวีปจะหนีในการบริหารประชุมกัน ก็จะเกิดสงคราม เพราะคนใจบาปมาก จะไม่เกิน 2548 ต่อ 2549 ต่อ 2550 ต่อ 2551 จะมีคนเหลือน้อยใน 5 ทวีป ขอให้ท่านทั้งหลายจงพากันทำบุญรักษาศีลทุกท่านเทอญ

ภัยพิบัติโลก เมื่อพ.ศ. 2547 ต่อ 2548 ต่อ 2549 ต่อ 2550 ต่อ 2551 ครั้งที่ 1 คือ 2547ต่อ 2548 ไม่หนักเท่าใด ครั้งที่ 2 2548 ต่อ 2549 หนักกว่าครั้งแรก 3 เท่า ครั้งที่ 3 2549 ต่อ2550 หนักมากที่สุด จะมีเมฆก้อนสีดำก้อนใหญ่มาปกคลุมโลก ฝนที่ตกลงมาจะเป็นพิษตกถูกผู้ใดจะเน่าเปื่อยรักษาไม่หาย แล้วทางทะเลจะระเบิดน้ำจะท่วมสูงประมาณ 100 เมตร แล้วจะมีภูติพื้นพิภพออกมากินมนุษย์ เกาะต่างๆ ในน้ำทะเลจะไม่มี ทางบก ทางอากาศจะระเบิดพร้อมกัน ในปี 2548 ต่อ 2549 จะมีงูน้อยใหญ่ออกมาทั่วพื้นพิภพในราวเดือน 11-12 งูนั้นเป็นบริวารของพญานาคราช ถ้าผู้ใดทำอันตรายเขาผู้นั้นจะตายทันที

มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย ขอจงอย่าประมาทถ้าอยากพ้นภัยพิบัตินั้นให้พากันถือศีลกินทาน และพากันท่องคาถาป้องกันภัยพิบัติโลก.....

ผมหาอยากนำเรื่องนี้มาเล่าตั้งแต่วันแรกที่เห็นเอกสารเผยแพร่ฉบับชาวบ้านดังกล่าวแล้วครับแต่ไม่มีโอกาส หลังเหตุการณ์ภัยพิบัติใหม่ๆ ก็คิดอยู่ แต่มาคิดอีกมุมหนึ่ง หากนำเสนอหลังภัยพิบัติเพิ่งพ้นผ่านประเดี๋ยวจะเป็นการหาโอกาสสร้างความขลังให้กับคำทำทาย ประเภทว่ารู้มาก่อนล่วงหน้า (แต่ดันมาพูดตามหลังเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว แบบหมอเดา ...ช่วงนี้ยังมีเรื่องพระโลงศพ ออกมาใบ้หวยผิด คิดแล้วมองเห็นการออกนอกลู่นอกทางทางคำสอนแท้ๆ ของพระพุทธเจ้าไปถึงไหนแล้ว )

เอาเป็นว่าที่คัดมาเล่าให้ฟังเพื่อให้เห็นการกระจายข่าวประสาชาวบ้านอย่างหนึ่ง อีกประการหนึ่งเพื่อเตือนสติกันอยู่เสมอๆว่าอย่าตั้งตนในความไม่ประมาทตามคำสอนของพระพุทธองค์

ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

พุทธทำนายล้านนาประเทศ

พุทธทำนายล้านนาประเทศ



จากคัมภีร์ใบลานเรื่อง "หมากน้ำเต้าจมหมากหินฟู" ของวัดป่าสักน้อย ตำบลแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้จารชื่อ "อภิชัย ยาตันคหัสถ์" ผู้สร้างชื่อ "นายน้อยตัน" จารไว้เมื่อ พ.ศ.2492

มีใจความว่า ครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับที่เชตวันวนาราม ทรงปรารภถึงการดำรงอยู่นานหรือไม่นานของพระศาสนา โดยทรงปรารภเหตุที่เทวดาทั้งหลายได้กราบทูลถาม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาตอบ โดยที่ในมัชฌิมยามคืนหนึ่ง เหล่าเทพเข้าไปสู่ธัมมสภาคศาลาเป็นจำนวนมากเพื่อฟังธัมมกถาในสำนักของพระพุทธองค์ยามเที่ยงคืนทั้งนี้ มีเทวดาชื่อ "ปัณณเทพ" เป็นหัวหน้าได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า การที่บางคนเกิดมาได้รับความลำบากยากแค้น แต่บางคนมีทรัพย์มั่งคั่ง บางคนรูปร้ายทุพพลภาพ บางคนอายุสั้น และบางคนอายุยืนยาวนั้นเป็นเพราะเหตุใด

พระพุทธองค์ตรัสว่า การที่คนเกิดมาและอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นเพราะในชาติก่อน ได้ทำบุญให้ทานถือศีลฟังธรรม ส่วนคนที่เกิดมาลำบากเข็ญใจนั้น เป็นเพราะในชาติก่อนมิได้ทำบุญให้ทาน ไม่สงเคราะห์แก่ผู้ใด มีแต่กระทำบาป เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดในนรก พ้นจากนรกก็เกิดเป็นเปรต หากยังมีกรรมหนาแน่นอยู่หรือเคยฆ่าสัตว์มาก่อน ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ที่ตนเคยฆ่าอีกห้าร้อยชาติ แล้วจึงเกิดมาเป็นคนอนาถายากไร้

คนที่มีรูปงามและมีอายุยืนนั้น ก็เนื่องมาจากอดีตชาติเคยทำบุญให้ทาน รักษาศีล ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่อิจฉาริษยาขึ้งโกรธต่อผู้ใด คนที่มีแต่ความอิจฉาริษยาอยู่ในใจนั้น มักเป็นผู้ผูกโกรธและไม่ทำบุญรักษาศีล พอเกิดมาจึงมีรูปร่างไม่งดงาม หรืออวัยวะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือมีอายุสั้น

คนที่เกิดมามีสติปัญญาและความจำดี มีศิลปวิทยาเป็นประโยชน์ต่อตนและครอบครัว ทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมือง หรือเป็นครูผู้สอนศิลปวิทยาแก่ผู้อื่นมาก่อน เมื่อเกิดมาอีกจึงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดส่วนคนที่เกิดมาแล้วโง่ทึบหรือเป็นบ้าเป็นใบ้นั้น เป็นเพราะในชาติก่อนมิได้ศึกษาเล่าเรียน ไม่ได้ฟังคำสอน หรือมีผู้สอนแล้วไม่เชื่อฟัง ก็ทำให้เกิดมาเป็นคนโง่ทึบและเป็นบ้าใบ้

พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า พระองค์จะมีพระชนมายุเพียง 80 ชันษา ก็จะนิพพาน และได้กำหนดให้พระพุทธศาสนายืนอยู่ได้ 5,000 ปี เมื่อพระองค์นิพพานไปครบ1,000 ปีแล้ว ก็จะเกิดความยุ่งเหยิงเป็นครั้งคราว จะมีพระอริยสงฆ์และพระราชาช่วยกันกอบกู้เป็นระยะๆ เพื่อให้พระพุทธศาสนาสืบเนื่องต่อไปได้ครั้นพระองค์นิพพานไปแล้ว 2,500ปี พระศาสนาจะเริ่มถอยลง คนจะขาดความเคารพในพระธรรม พระภิกษุบางเหล่าจะแตกแยกกัน บางหมู่จะไปตั้งนิกายใหม่ บางหมู่จะนำเอาคำสอนของพระองค์ไปทำให้ไขว้เขว พระสงฆ์บางกลุ่มจะตั้งตนเป็นผู้วิเศษ ประพฤติตนเป็นมิจฉาทิฐิอลัชชี จะมีการหากินด้วยเดียรัจฉานวิชาต่างๆ คนทั้งหลายทำไร่นาลำบาก ท้าวพญาจะข่มเหงชาวบ้านชาวเมือง ความยุติธรรมจะบกพร่อง และเมื่อศาสนาของพระองค์มีอายุ 3,000 ปีแล้ว ท้าวพญาจะขัดแย้งกัน บ้านเมืองจะวุ่นวายฆ่าฟันกันไปทุกหย่อมหญ้า เกิดความแห้งแล้งและพืชผลจะตกต่ำ คนจะพากันล้มตายด้วยเหตุต่างๆ เป็นอันมาก และเมื่อโดยเฉพาะศาสนาของพระองค์พ้น 2,500 ปีไปแล้ว คนหลายๆ ครอบครัวจะได้ร่วมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน หญิงชายอายุถึงสิบปีก็จะมีผัวมีเมียกันแล้ว

ยามนั้นคนทั้งหลายจะไม่อ่อนน้อมต่อกัน และจะเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพงไปทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อศาสนาของพระองค์ล่วง 2,500 ปีไปแล้ว จะเกิดปัญหา "หมากน้ำเต้าจักจม หมากหินจักฟู" หมาจิ้งจอกจักไล่กัดเสือ ช้างจะพากันกินถ่านไฟแดง คนใจบุญใจกุศลจะต้องหาบ แต่คนใจบาปจะเดินตัวเปล่า พ่อค้าจะอาสาออกศึก น้ำไม่ลึกจะพากันทำที่ว่ายน้ำเล่น กบเขียดจะไล่กินงู พญาครุฑจะเป็นบริวารของกาดำ หมาจิ้งจอกจะกินอาหารจากถาดทอง และราชสีห์จะเป็นบริวารของหมาจิ้งจอก

ครั้งนั้นเทวดาถามว่า เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้ว พระองค์จะตั้งพระรัตนตรัยไว้อย่างไร ภายหน้าภายหลังไม่เสมอกันจะเป็นเหตุใด สัตว์ไม่เคยเกิดก็จะมี ที่มีแล้วก็จะเกิดมาอีก อันว่า หมากน้ำเต้าไม่เคยจมน้ำก็จักจม หมากหินซึ่งอยู่ใต้น้ำก็จักฟูลอยขึ้น จะเป็นด้วยเหตุใด

พระพุทธองค์ตอบว่า เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป 2,500 ปีแล้ว "หมากน้ำเต้าจม" ได้แก่ คนทั้งปวงที่เคยบวชและเรียนพระไตรปิฎกจนถ่องแท้แล้วนั้น ต่อมากลับทำบาปและไม่รักษาศีล อีกทั้งยังแนะให้คนอื่นหลงผิดจนตกนรกหมกไหม้เป็นอันมาก คนเหล่านั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็จะไปจมอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 อันว่า "หินจะลอยไปตามกระแสน้ำ" นั้น ได้แก่ คนบ้านนอกซึ่งไม่รู้จักพุทธศาสนาจะพากันละเลิกมิจฉาทิฐินั้นแล้วทำบุญรักษาศีล และสร้างคุณงามความดีแก่บ้านเมือง เป็นผู้ค้นคว้าเอาวิชาความรู้มาเผยแพร่แก่กุลบุตรกุลธิดาสืบไปอีก คนเหล่านั้นจักได้ชื่อว่า "หมากหินจักฟู" ต่อมาท้าวพญาจะแย่งชิงอำนาจกันและแตกเป็นพวกเป็นเหล่า เมื่อรบกันแล้วผู้มีกำลังน้อยก็จะจ้างชาวป่าชาวดอยมาเป็นกำลัง โดยบอกว่าหากตนชนะแล้ว จะตั้งให้มีอำนาจและได้ทรัพย์สินของผู้แพ้นั้น พวกท้าวพญาหรือเสนาอำมาตย์ที่อาศัยพวกโจรหรือชาวบ้านชาวป่ามาเป็นนักรบ ซึ่งเมื่อชนะแล้วก็ตั้งให้มีตำแหน่งหน้าที่และได้ลูกเมียของพวกผู้แพ้ไปสมสู่อยู่กินด้วย อันนี้เรียกว่า "ราชสีห์จักได้เป็นบริวารของหมาจิ้งจอก" ส่วนวงศาลูกเมียของพญาผู้เสียอำนาจนั้นก็เท่ากับว่า "พญาครุฑไปเป็นบริวารของกาดำ" และพวกโจรหรือนักเลงชาวป่าชาวดอย เมื่อไม่มีความรู้แต่มีอำนาจหน้าที่แล้ว ก็จะใช้แต่ความหยาบช้าหาศีลธรรมมิได้ คนดีมีความรู้ก็จะพากันหันหนีเข้าป่า คนอธรรมจะได้ครองเมือง และบ้านเมืองก็ระส่ำระสายเกิดกลียุค อันนี้เรียกว่า "กบเขียดไล่กินงู" คือเมื่อศาสนาของพระองค์ผ่าน 2,500 ปีไปแล้ว คนทั้งหลายก็จะเป็นทุกข์และเดือดร้อนฉิบหายกันมากนัก

เทวดาก็ทูลถามว่า หากเกิดเหตุเช่นนั้นจริง พระองค์จะให้พวกเทวดาทำอย่างไร พระพุทธองค์ตอบว่า หากคนยังเคารพและปฏิบัติตามในพระรัตนตรัยอยู่ ก็จะเป็นบุญของผู้นั้น แต่หากไม่ปฏิบัติตามก็เป็นกรรมของผู้นั้น จึงขอให้เทวดาทั้งหลายทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาฟังธรรมคำสอนของผู้รู้ สร้างกุศลและละเว้นจากบาป ทำจิตใจให้บริสุทธิ์แล้วตั้งจิตปรารถนาให้ได้พบพระพุทธอาริยเมตไตรย เทวดาทูลถามต่อว่า คนที่อยากพบพระอาริยเมตไตรยนั้นพึงทำอย่างไร พระพุทธองค์ก็ตอบว่าให้มั่นคงในการทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาแล้วตั้งความปรารถนาว่าให้ได้พบกับพระพุทธอาริยเมตไตรย ก็จะได้พบกับพระพุทธอาริยเมตไตรยเป็นแน่แท้ เมื่อเทวดาทั้งหลาย มีปัณณเทพเป็นประธานได้รับฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าดังกล่าวแล้ว ก็มีความชมชื่นยินดีมากนัก จึงพากันกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วอำลาคืนสู่วิมานของตน

บัดนี้...เป็นไปอย่างพุทธทำนายของพระพุทธองค์แล้วหรือยัง?

ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

พุทธพยากรณ์โลก

พุทธพยากรณ์โลก


พระพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ไว้กับ พระอานนท์ว่า อานันทะดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชน และบุคคลให้พินาศจะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก แต่ว่า อานันทะ ดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงนักยังหาไม่ได้
ทั้งนี้ ก็เพราะว่า หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว อานันทะ ดูกรอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึง คนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตาย ฝ่ายละมากๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เป็นอันว่า ท่านดามุสคนนี้ ก็พยากรณ์ไว้ตรง แต่เขาบอกว่า ค.ศ.๒๐๐๐ โลกจะสลาย แต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราบอกว่า โลก ยังไม่สลาย พระพุทธศาสนา จะทรงอยู่ได้ ตลอด ๕,๐๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพยากรณ์ ไว้ที่ พระธาตุดอยกิตติ ครั้งหนึ่งทรงตรัสว่า
"ชี้ว่าเขตประเทศนี้ ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปี" นี่หมาย ถึงประเทศไทย

เป็นอันว่า สงครามจะเกิดขึ้นที่ดามุสบอก ก็หมายถึงสงครามซีกตะวันตก หมายถึงอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ กับตะวันออกกลาง สงครามจริงๆ ยังคงไม่ถึงประเทศไทย

ทีนี้เรามาย้อนรอยถอยหลังกันก่อนว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตรัสรู้ว่า ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมี การรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ ไฟจะลุกจากอากาศ ก็เป็นความจริง ในขณะนั้นปรากฏว่า ลูกปืนกลจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดเพลิงบ้าง ทิ้งจากอากาศ ประเทศไทยเรา ก็พลอยยับเยิน ไม่น้อยเหมือนกัน เล่นเอาตู้รถไฟ ต้องไปขี่กัน ที่บางกอกน้อย ทั้งๆ ที่ตู้มันหนัก แต่แรงของระเบิด ดันตู้รถไฟจนไปขี่กัน ตึกบ้านเรือนโรงลำบากมาก
แต่ว่าสงครามนั้น เป็นเหตุบันดาลอย่างหนึ่ง นั่นคือว่า สร้างความทุกข์ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า สงคราม นี่ อาตมา ผู้พูดเอง ก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ เพราะว่า เคยอยู่ในระหว่างสงคราม ขณะนั้นอยู่กรุงเทพฯ แสงไฟฟ้าก็ใช้อะไรไม่ได้ ต้องใช้ตะเกียง ตะเกียงน้ำมันก๊าดไม่มีจะใช้ น้ำมันโซล่าก็หาไม่ได้ ต้องใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าวมาทำตะเกียง ของทุก อย่าง ของกินของใช้ต้องปันส่วน เพราะหาไม่ได้ จะได้ก็ของจากญี่ปุ่น เวลานั้นของเรามีน้อย เวลานี้โรงงานมีมาก แต่ก็ไม่ แน่นัก เพราะระเบิดจากอากาศก็ดีจรวดก็ดี หรือว่าระเบิดจากภาคพื้นดินก็ดี อาจจะเกิดกับโรงงานต่างๆ ในประเทศไทยได้ ถ้าสงครามเขา เกิดขึ้น

หากว่าท่านจะถามว่า ทำไมสงครามเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลางแล้วจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ทำไมไทยจึงต้องหวาด ระแวง ความจริงไม่ได้พูดให้ระแวง พูดให้ทราบ ตามความจริง หรือ ตามความรู้สึก นึกคิด ถ้าเรื่องนี้ผิด ก็ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าเป็นการคาดคะเน มากกว่าอย่างอื่น คิดว่าถ้าสงครามเกิดขึ้น ระหว่างสงครามศาสนา ก็จงอย่าลืมว่า ศาสนาที่อยู่ ระหว่างสงคราม ก็มีอยู่ในประเทศไทยทั้ง ๒ ศาสนา ถ้าเขารบกัน แต่เพียงภายนอกก็ดี แต่บังเอิญ คนที่นับถือศาสนานั้นๆ ทั้ง ๒ ศาสนาเกิดทะเลาะ วิวาท รบราฆ่าฟันกันในเขตของเรา เขตของเราก็ต้องยับเยิบไป เหมือนกับสนามหญ้ากับสุนัข ๒ ฝ่ายกัดกัน สนามหญ้าก็แหลก ถ้าบังเอิญเขารบกัน ก็ไม่เป็นไร ดีไม่ดีเขาจะชวนเรารบ เราจะรบหรือไม่รบ เขาก็จะรบหรือ ว่าเราไม่รบ เขาก็ไม่รบ แต่เขายึด เรายอมให้เขายึดไหม ในส่วนต่างๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศไทย

สำหรับความนึกคิด ในเวลานี้ ไม่ใช่หมอดูนะ ไม่ใช่พยากรณ์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักอะไรทั้งหมด เป็นแต่การคาดคะเนว่า เหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้น อาการต่าง ๆ ที่ปรากฏในปัจจุบันจะฟูขึ้น เพราะรับการสนับสนุนเรื่องการเงิน กำลังอาวุธจากที่อื่น จากนั้นเหล่าทหารตำรวจของเรา ก็ต้องเคลื่อนกำลังเข้าไปรักษาเขต ทีนี้เขตต่อเขต เขตยันเขต เขตที่เขาก่อขึ้นเป็นเขตในประเทศไทย และเขตต่อไปข้างหน้า ก็เป็นเขตที่เขาพวกเดียวกัน อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ลองวาดภาพกันดู ถ้ามันเกิดจริงๆ ตามเขาว่านะ อันนี้ไม่ได้รับรองว่า มันจะเกิดจริงหรือไม่

ถ้าเกิดจริงส่วนประเทศไทย ทุกจุดทุกภาค ก็มีบุคคลที่ถือ ศาสนาตรงกันข้าม กับพระพุทธศาสนา ก็มีกำลังสูงขึ้น ที่เขาโต้กันที่เชียงใหม่ อภิปรายก่อนหน้าที่จะพูดนี้ไม่ถึงเดือน เขาโต้กันถึงหลักสูตรการศึกษาว่า

หลักสูตรพระพุทธศาสนา ถูกลดลงไป หลักสูตรศาสนาอื่น เข้ามาแทน อย่างนี้ก็ต้องมีอาการ น่าคิดว่า เขาวางแผนล่วงหน้าไว้ไกลมาก หรือว่าเป็นการวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน โดยเฉพาะระยะใกล้ก็ได้

ก็เป็นอันว่า ในเมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้น ทางด้านตะวันออกกลาง ทีนี้ เศษสงครามมันก็อาจจะเข้ามาถึงประเทศไทย ต่อไปก็เป็นการเดาอีก ขอเดานะ ไม่ได้พูดตรงๆ จะหาว่าดูผิดก็ไม่ได้ เดามันผิดได้ ขอเดาว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ แต่ความจริงเวลานี้ ยังไม่มีใครจะให้เกิด เวลาที่พูดนี่นะ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ แต่กว่าหนังสือนี่จะออกถึงเดือนมีนาคม ถ้าสงครามเกิดก็เกิดแล้ว ไม่เกิดก็ไม่เกิด ในระหว่างนี้ต่างคนต่างมองต่างคนต่างพูด แสดงเรื่องการเมือง เอาเหตุผลต่างๆ มาหักล้างกัน ก็ไม่แน่นักว่ามันจะเกิด ก็อยากจะบนบานศาลกล่าวว่ามันไม่เกิดนั่นแหละเป็นการดี แต่ทว่าพระดำรัสของ องค์สมเด็จพระชินสีห์ ไม่เคยผิด แต่ว่าท่านไม่ได้บอก พ.ศ.

เป็นอันว่าประเทศไทยก็จะถูกหาง หรือท้ายฝน ละอองฝนจากสงคราม ก็เป็นอันว่าเราถูกละอองฝน ดินแดนเราก็จะไม่เสีย แต่ว่าชีวิตคนอาจจะเสียไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าห่วง ก็คือ ของกินของใช้ ราคามันจะแพงมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราต้องใช้น้ำมัน โรงงานต่างๆ ต้องใช้น้ำมัน ในเมื่อสงครามเกิดขึ้น ในเขตของบ่อน้ำมัน เราจะมีโอกาสซื้อน้ำมันได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่

ท่านดามุส ท่านบอกว่า อำนาจของฝ่ายน้ำมัน มีอำนาจมาก สามารถเอาอาวุธ ใส่ในท้องปลา ไปยิงที่ไหนก็ได้ นั่นหมายถึง เรือดำน้ำ ถ้าเราส่งเรือไปซื้อของในเขตใดเขตหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของศัตรูของเขาเรือดำน้ำของเขา ก็อาจจะยิงเรือพาณิชย์ ของเราก็ได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คนที่พบระหว่างสงคราม จะมีความรู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ แต่ว่า ขอยืนยัน บรรดาท่าน พุทธบริษัทว่า สิ่งที่เราไม่ต้องกลัวอย่างหนึ่งคือ เขาประกาศบอกว่า การสงครามนี้เขาจะใช้อาวุธเคมีบ้าง จะใช้นิวเคลียร์บ้าง จะใช้นิวตรอนบ้าง อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ น่ากลัวจริงๆ แต่สำหรับความรูสึกของผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของๆ ท่าน ทุกชิ้นที่ผลิตออกมา ท่านบอกว่า กันรังสีต่างๆ ได้หมด รังสีต่างๆ จะไม่สามารถกระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีของของท่านได้ ที่ท่านทำให้นะ

ก็เป็นอันว่า ท่านยืนยันมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๑ และท่านทำทุกครั้ง ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่างๆ ไม่ต้องกลัวเลย รังสีจะไม่เข้าใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให้ของนั้นอยู่ไหน ก็หาเอาเองก็แล้วกัน ของนั้นจะขอบอกเป็นนัยๆ เอาตรงๆ เลย ก็ได้คือ พุทธานุสสติ นั่นคือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหาย ใจออกนึกถึง โธ ก่อนจะออกจากบ้าน ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า พุทโธ ก่อนอธิษฐานขอความปลอดภัยก่อน จะไปก็เสกน้ำลาย ด้วยกำลังของพุทโธสัก ๓ ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไป หรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน หรือว่าถ้าทำอย่างนั้น ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ติดกับร่างกาย แต่ต้องอาราธนาทุกวัน ว่า นะโม ตัสสะฯ 3 ครั้ง แล้วก็ว่า พุทโธ เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่างๆ แม้แต่สะเก็ดระเบิด หรือว่ากระสุนปืนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมี พุทธานุสสติ เป็นกำลังใจ

ทีนี้เรามาคุยกันต่อไปนี่มันเรื่องคุยนะ ถ้าบังเอิญเวลานี้มีอิรักตั้งท่ายัน อิรักปรากฏว่า ประกาศว่ามีคน ๑๘ ล้าน แต่ทว่า อิรัก อิรักอิหร่านนี่รบกันมาประมาณ ๘ ปี พออเมริกาส่งกำลังเข้ามาในอ่าวเปอร์เซีย อิรักอิหร่านดีกันฉิบ พื้นที่ของอิหร่านที่อิรัก ยึดได้ ก็พันตารางไมล์ก็ตาม คืนให้หมดปล่อยเชลยให้หมด เวลานี้ศัตรูกับศัตรู อิรักกับอิหร่านเป็นมิตรกัน อิหร่านก็เข้ากับอิรัก ไม่เห็นด้วยที่อเมริกา จะเอาวัฒนธรรมของเธอ มาใช้ในตะวันออกกลาง เขาถือว่า ผิดกฏของพระศาสนานี่ป็นอันว่า อิรักก็มีเพื่อน เข้าอีกหนึ่งประเทศ คือ อิหร่าน อิหร่านนี่ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน หนักเหมือนกัน แล้วต่อมาอย่าลืมว่า สายเลือด ที่ร่วมกันมา เขาอาจจะไม่ทิ้งกันนั่นคือศาสนา คนที่นับถือศาสนาร่วมกัน อาจจะร่วมมือกันภายหลัง อย่างนี้สงครามใหญ่จะ เกิดขึ้น ซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ของพระท่าน

ในปีที่ญวนแตกอเมริกาหนีกลับบ้าน ปีนั้นก็ถามพระท่านว่า หลังจากนี้จะมีอะไรบ้าง สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นไหม ท่านบอกว่า คำว่าสงครามโลก ยังไม่เกิด คำว่าสงครามโลกนั่นหมายถึงว่า ทั้งโลกแบ่งกันเป็น ๒ พวก ร่วมกันทั้งหมด แล้วก็ตีกันในระหว่างฝ่ายต่อฝ่าย คือตีกันรบกันอย่างนี้เรียกว่า สงครามโลก แต่สงครามครั้งที่จะเกิดทางด้านตะวันออกกลาง ท่านบอกตรงว่า จะเกิดที่ด้านตะวันออกกลาง เขายังไม่เรียกว่าสงครามโลก เขาเรียกว่าสงครามใหญ่ สงครามใหญ่คราวนี้จะ มีความร้ายแรงไม่น้อย ร้ายแรงกว่าสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้บอกอย่างดามุสว่า ถึงแม้อเมริกาอาจจะถูกนิวเคลียร์ ท่านไม่ได้บอกไว้ คือไม่ได้ถาม

รวมความว่าคำพยากรณ์ของท่านที่พยากรณ์ว่าจะเกิดที่ตะวันออกกลางก็ตรงแล้ว เวลานี้ตะวันออกกลางจะมีสงคราม อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสงครามเศรษฐกิจ เริ่มบีบรัดกันขึ้นมาการถูกบีบนี่ บรรดาท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน สมัยเยอรมันก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี อิตาลีก็ดี ที่ต้องประกาศเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เพราะว่า การถูกบีบคั้นจากโลกตะวันตกหรือหลายๆ ประเทศ ที่เรียกกัน ว่า สันนิบาตชาติ ในเวลานั้นทั้ง ๓ ประเทศ ลาออกจากสันนิบาตชาติ สันนิบาตชาติ ต่างคนต่างบีบคั้นต่างๆ หาทางกลั่นแกล้ง ถ้าไม่รบก็อดตายมีความจำเป็นต้องรบ หมายถึงว่า ยอมเสี่ยง ยอมเสี่ยงการเสียอิรภาพ การเสียประเทศจะต้อง เป็นเมืองขึ้นเขากับความตาย ทีนี้การรบความตายมันก็เกิด แต่เกิดเฉพาะบุคคลบางกลุ่มที่เป็นทหาร และบุคคลที่อยู่ใกล้จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกระเบิด คนนอกนั้นจะไม่ตาย ถ้าไม่รบ ความอดเกิดขึ้น มันจะตายทั้งประเทศ เขาต้องตัดสินใจรบ เรื่อง สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีฉันใด เวลานี้อิรักกับอิหร่าน กำลังจับมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนามุสลิมเขาเป็นศาสนาที่มีความรักกันมาก

อย่างตอนใต้ประเทศไทย คราวนั้นฟังข่าวจากทางโทรทัศน์ จากท่านพันเอกณรงค์ กิตติขจร ท่านบอกว่า ใครล่ะ พันเอกกัดดาฟี มั้ง ถ้าพูดชื่อผิด ขออภัยด้วย ท่านเคยไปเจรจากัน บอกว่า อย่ามายุ่งกับประเทศไทยเลย แต่เขาบอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งด้วย แต่ที่ยุ่งนั้นเป็นเรื่องของศาสนา ที่จะให้มีการแบ่งแยกประเทศไทย ออกเป็นของมุสลิมส่วนหนึ่ง ของไทยส่วนหนึ่ง เขาหวัง ๔ จังหวัด แต่ความจริงถ้าเขายึด ๔ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๘ จังหวัด ถ้า ๘ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๑๖ จังหวัด ผลที่สุดเขาต้องการยึดทั้งหมดทั้งประเทศไทย ความพอใจของคนไม่มีฉันใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าสงครามเกิดขึ้น ถ้าเราจำเป็น ต้องเสียดินแดน เรื่องเสียเฉพาะน่ะ ไม่มีแน่นอน มันต้องเสียกันเรื่อยไป เวลานี้เรา ก็ไม่มีพอที่จะเสียแล้ว แต่ที่พูดนี่ ก็ไม่ได้หมายความว่า สงครามจะเกิดจริง สมมติว่า ถ้ามันจะเกิดทีนี้เรื่องของศาสนา ก็จะเกิดขึ้นที่พูดนี่ไม่ได้ยุให้คน ๒ ศาสนาทะเลาะกันนะ เป็นแต่เพียงว่าท่านณรงค์ท่านบอกว่า ท่านไปพูดกับประธานาธิบดีของเขา ประธานาธิบดีของเขาก็บอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งเป็นเรื่องของศาสนา ทีนี้ศาสนาจะเอาเงินมาจากไหน ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน

รวมความว่า หันมาคุยกันในประเทศไทย ถ้าสงครามเกิดขึ้นจริงๆ เราจะเป็นอย่างไร ประการแรก เรายังพูดถึงศาสนาก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ เราจะหนักเรื่อง น้ำมัน นิดหน่อย แต่ว่าน้ำมันในประเทศไทย ถ้าเร่งรัดจริงๆ จะเหลือใช้ เพราะอะไร เพราะว่าน้ำมันในประเทศไทยนี่มีมาก การเจาะ บรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ที่พูดนี่ก็ขอเดา คิดว่าท่านที่เจาะเขาคงจะเจาะไม่ถึงเพดานจริงๆ ของน้ำมัน รวมความว่า ถังน้ำมันถังใหญ่จริงๆ น่ะ เราจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว ประเทศจีน เขาก็มีน้ำมันเขาอยู่สูงกว่าเรา ประเทศพม่าก็มีน้ำมัน อินโดนีเซียก็มีน้ำมัน แล้วก็ไทยล่ะอยู่กลางทำไมจะไม่มีน้ำมัน

ทีนี้เวลานี้การเจาะน้ำมัน การดูดน้ำมันเขาว่าได้น้อย แต่ความรู้สึกของผู้พูด หรือตามข่าวหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่าความจริงประมาณน้ำมันที่ได้ มันมากกว่าข่าวที่เขาแจ้งมา ข้อนี้จะเท็จจริงประการใดก็ไม่ทราบ สุดแล้วแต่หนังสือพิมพ์ แต่เขาบอกว่าเขาแจ้งได้น้อย ก็ยังมีอีกหลายหลุมที่เขาเจาะพบแล้ว เขาบอกว่าไม่พอกับเชิงพาณิชย์ จึงไม่ยอมดูดขึ้นมา นี่ก็เป็นลีลาของพ่อค้าเป็นของธรรมดา ถ้ากำไรน้อยเขาจะไม่เอา หรือจะมาพูดกันอีกทีหนึ่ง

เวลานี้ทราบว่า คนไทยศึกษาเรื่องวิชาการเจาะน้ำมันมาได้ดีแล้ว มีความชำนาญพอแล้ว แล้วก็กำลังจะเจาะก่อน หนังสือจะออกคงจะเจาะแล้วละมั้ง เจาะก๊าซที่สงขลาใกล้ๆ กับบ่อเดิม จะเอาก๊าซมารวมกัน เข้ากับท่อเดียวกัน ขึ้นมาใช้จะได้มีปริมาณสูง ถ้าบังเอิญท่าน หรือนายทุนท่านใดท่านหนึ่ง ในพื้นที่ ที่ไม่มีสัญญาประมูลกับบริษัทต่างๆ แต่น้ำมันมีมาก ปริมาณของประเทศไทยนี่ ถ้าจะลองเจาะอย่างต่างประเทศเขา เอาที่ใดที่หนึ่งก็ได้สักที่หนึ่ง ที่พูดนี่เป็นการสมมติกันนะ จะเชื่อหรือไม่สมควรเชื่อ
เพราะความรู้สึกว่ามีอยู่ว่าการเจาะที่แล้วมา เขาเจาะกันยังไม่ถึงฝาผนังหรือเพดาน ของถังน้ำมัน ซึ่งมันเป็น ถังใหญ่คลุมจักรวาล มันเป็นทะเลอีกชั้นหนึ่งต่างหาก คือเป็นทะเลน้ำมันจริงๆ ประเทศไทยตั้งอยู่เหนือทะเล น้ำมันจีน ก็เช่นเดียวกันแล้วก็พม่าก็เหมือนกัน อินโดนีเซียก็เหมือนกัน มาเลเซียก็เหมือนกัน บรูไนก็เหมือนกัน มันเป็นถังถังเดียวกัน ถ้าบังเอิญ เราจะเจาะอย่างอังกฤษ ที่เขาบอกว่า อังกฤษเจาะที่ทะเลเหนือ เจาะลง ไปลึกลงไปใต้ดินถึง ๖ กิโลเมตร ก็ได้น้ำมันขึ้นมาเพียงพอ
แต่ประเทศไทยเราสำรวจแล้วว่า ที่ใดที่หนึ่งมีน้ำมันพอที่จะเจาะได้ ก็ลองเจาะสัก ๖ กิโลเมตร จะมีผลเป็นประการใดเรื่อง นี้ก็ลองถามท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ท่านมีความชำนาญในด้านนี้มาก ก็เรียกว่าดร.สรรพศาสตร์ ท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ถ้าเจาะลงไปถึง ๖ กิโลเมตร ในถังน้ำมันที่มีพื้นแผ่นดินหนา หมายความว่า หลังถังน่ะลึกลงไป เจาะลงไปแค่ ๓ กิโลเมตร จะถึงผิวถังน้ำมัน หรือหลังคาน้ำมัน ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ไอ้ท่อที่เจาะลงไปนั้น จะจมไปในตัวถังน้ำมัน บ่อน้ำมันจริงๆ ครึ่งกิโลเมตร ถ้าเจาะในที่ตื้น ที่บางจุดอยู่ไม่ไกลกรุงเทพนัก ในที่นี้ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ท่อจะจมลงไปในเขตของน้ำมัน ประมาณ ๖ กิโลเมตร ถามว่า ดร.สรรพศาสตร์ ถ้าเราจะดูดใช้อย่างปัจจุบันนี่ ถ้าทำอย่างนั้นจะใช้ได้สักกี่ปี ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอา ๓๐ เท่าของปัจจุบันใช้ไป ๕,๐๐๐ ปี น้ำมันยังไม่หมด ปริมาณยังไม่ลด

นี่แหละบรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ถ้าบังเอิญท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านพยากรณ์ตามความรู้ของท่าน ถ้าตรงตามนี้ประเทศไทยเราก็ไม่จน อย่างอื่นจะไม่มีก็ไม่เป็นไร ไฟของเรามีน้ำมันเราก็ถูก อุตสาหกรรมของเราลงทุนถูก เพราะน้ำมันถูก เราจะขายต่างชาติได้ดี ระยะนั้นประเทศไทยเราจะรวย

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราคุยกันมาวันนี้ก็ป่วย แต่เกรงว่าเล่มที่ ๑๘ นี่จะไม่ครบ ทำไปแล้ว บ้างตามสมควร แต่ไม่แน่ใจ ว่าจะครบหรือไม่ครบ ก็ลุกขึ้นมาทำหันไปดูเวลาเหลือเวลาประมาณนาทีเศษ ก็ขอเตือนบรรดาญาติโยม พุทธบริษัท ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า จงอย่าหวั่นไหว ต่อสงคราม ขอยืนยันว่า ถึงแม้ว่าสงครามจะเกิด ก็จริงแหล่แต่ทว่าเราจะไม่ตายเพราะสงครามโลก เราจะไม่อดตายเพราะสงครามโลก และนักเกษตรศาสตร์ก็ดี นักเกษตรศาสตร์นี่จะมีโชคดีมากคือจะรวย ข้าวจะแพง พวกที่เลี้ยงสัตว์ก็ดี ราคาจะแพง จะรวยทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีความประมาท บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเทศไทยจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์

ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

การชำระล้างโลกของพระบิดา

คำพยากรณ์โลก : การชำระล้างโลกของพระบิดา
กระบวนการทางเทคนิคของพระบิดาต่อไปนี้ จะเปิดเผยเฉพาะบางส่วนที่มนุษย์ควรรู้เท่านั้น เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้เป็นข้อพิสูจน์
ว่าความรู้ทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนเป็นพระเมตตาที่พระบิดาประทานมาให้เผยแพร่ มิใช่เป็นการกระทำขึ้นมาเองของมนุษย์ที่อวด
อุตริจริงแท้หรือไม่

หากทุกอย่างเป็นความจริงตามที่เผยให้รู้ไว้ล่วงหน้านี้ ย่อมจะเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าองค์จิตจักรวาล ผู้เป็นพระบิดาหรือพระ
ผู้สร้างหรือว่าพระเจ้าล้วนมีจริงเป็นแน่แท้ แต่จะมีใครสักกี่คนกันเล่า ที่จะมีโอกาสข้ามผ่านกลียุคครั้งที่ 4 นี้ไปได้เพื่อถึงวันเวลาแห่งการพิสูจน์นั้น?

ขึ้นตอนโดยสังเขปทางเทคนิคของพระบิดา

1. ก่อนวันชำระครั้งใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น 15 วัน แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลก ที่ทำมุมกันแนวดิ่งอยู่ 23.5 องศานั้น จะถูกกำหนดให้มันค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อเบี่ยงเบนไปจากแนวเดิมเรื่อย ๆ จะทำให้ขั้วโลกเหนือก้มหัวลงหันเข้าหาดวงอาทิตย์มากขึ้น

2. น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น จากกรณีที่เกิดขึ้นในข้อแรก ทำให้น้ำแข็งละลายกลืนกับน้ำในมหาสมุทรอย่างรวดเร็ว

3. เมื่อโลกเอียงในลักษณะก้มหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำจากขั้วโลกก็จะพากันไหลหลั่งลงสู่เบื้องล่างเป็นคลื่นน้ำระลอกใหญ่ ในอันที่จะนำไปสู่คลื่นยักษ์ถาโถมแผ่นดิน และบริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่จะกลืนแผ่นดินต่อไป

4. ขณะเดียวกันก็จะกำหนดให้เกิดการสั่นสะเทือนใต้มหาสมุทรบริเวณขั้วโลกใต้ เพื่อกระเทาะเอาก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ให้
หลุดออก เพื่อใช้เป็นมวลในการถ่วงดุลด้านน้ำหนักมวลระหว่างขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ในกระบวนการทางเทคนิคที่จะ
กล่าวถึงในข้อ 5 และ 6 เป็นลำดับต่อไปนั่นเอง

5. เมื่อครบ 15 วันตามกำหนดที่จะชำระความครั้งใหญ่แล้ว แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลกจะเบี่ยงเบนไปจากเดิม
8.5 องศา หรืออยู่ที่ 32 องศากับแนวดิ่งแล้ว ตรงพิกัดตำแหน่งนี้จะเป็นกำหนดเวลาที่ส่วนโค้งของโลก จะเริ่มบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ได้อย่างเหมาะเจาะพอดีอีกต่างหากด้วย ดังนั้นวันแรกแห่งการชำระความในกรณีชำระโลกครั้งใหญ่ ที่มนุษย์จะสังเกตมายาได้ก็คือ ฟ้าจะเริ่มมืดสลัวลง ผิดปรกติ

6. ดาวเคราะห์โลกจะค่อย ๆ ม้วนตัวก้มหัวเอาขั้วโลกเหนือ คว่ำลงแทนที่ตำแหน่งขั้วโลกใต้อย่างช้า ๆ โดยมีน้ำหนักจากขั้ว
โลกเหนือที่ไหลลงสู่ด้านล่าง และก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ทางด้านขั้วโลกใต้ช่วยส่งเสริม กระบวนการทางเทคนิคนี้ให้แนบเนียน
กลมกลืนยิ่งขึ้น เมื่อขั้วโลกเหนือย้ายตนเองไปสู่ขั้วโลกใต้แล้วก็จะค่อย ๆ พลิกม้วนตัวขึ้นเพื่อย้อนคืนสู่ตำแหน่งเดิมของตน
ต่อไป โดยไม่ย้อนรอยเดิม แนวแกนหมุนรอบตัวเองตำแหน่งใหม่ในยุคพลังงานใหม่ก็คือ 22 องศากับแนวดิ่ง เพื่อสร้างฤดูกาลใหม่ที่สมดุลให้กับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่แห่งโลกเสรี ระยะเวลาที่โลกม้วนตัวตีลังกาครบ 1 รอบ จะใช้เวลาดำเนินการทั้งสิ้น 30 วัน!

7. คำกล่าวที่ว่า “น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว” จะเกิดขึ้นภายใน 7 ราตรี คือ 49 วันอันมีแต่กลางคืนนั่นเอง หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะจมอยู่ใต้บาดาล ผู้ที่อยู่ใต้น้ำย่อมมองเห็นเหมือนน้ำท่วมท้องฟ้าและปลาจะแหวกว่ายอยู่ไปมา ทำให้คนที่จมอยู่ใต้น้ำแลประหนึ่งว่า ปลาจะกินดาวนั่นเอง

8. ตึกสูงใหญ่ วัตถุเทคโนโลยีขยะ มนุษย์ขยะ สัตว์ประจำโลก ต้นไม้ใหญ่น้อย ภูเขาสูงชันและอื่น ๆ จะถูกชำระออกไปจาก
ระบบ เพื่อลดจำนวนและน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลกให้น้อยลง เพื่อสร้างสมดุลใหม่ให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้

9. สัตว์ประจำโลกบางชนิดจะสูญพันธุ์ เพราะพวกเขาหมดหน้าที่แล้ว โดยพระบิดาจะเรียกนำจิตวิญญาณพวกเขาทั้งหมด
กลับคืน คือ กระต่าย และ หนู

10. เมื่อครบ 49 วันหรือ 7 ราตรีแล้ว พระบิดาจะใช้น้ำฝนดั่งน้ำทิพย์ที่บริสุทธิ์ของพระองค์หลั่งลงมาเพื่อเก็บกวาดชำระล้างเศษซากทุกสิ่ง และชุบชีวิตให้กับจิตวิญญาณบุตรที่รักดีที่เหลือรอด

ขั้นตอนการชำระความโดยสังเขป:
1. ให้มีการ ชำระความ ก่อนวันชำระใหญ่ได้เรื่อย ๆ นับแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา
2. การชำระความ กระทำโดยกลุ่มของช่างเทคนิค ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นในสนาม
พลังงานดาวเคราะห์โลก จำนวน 20 เท่าของประชากรโลกที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในประเทศใดก็จะทำหน้าที่เป็นช่างเทคนิคเพื่อชำระความกับมนุษย์ในประเทศนั้น
3. การชำระความของเจ้ากรรมนายเวรผู้เป็นช่างเทคนิค หมายถึง การแก้แค้นเอาคืนอย่างสาสมกับมนุษย์ที่เคยก่อกรรมด้าน
ลบต่อพวกเขามาก่อน
4. เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง พี่ ๆ น้อง ๆ ของมนุษย์ในภพชาติปัจจุบันนี้เอง ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการจองจำด้วย
ความอาฆาต โกรธแค้นต่อมนุษย์ปัจจุบันที่เคยกระทำผิดคิดร้ายต่อพวกเขา โดยพวกเขาไม่ยอมไปผุดเกิดยังภพภูมิใด ๆ ได้แต่
รอคอยโอกาสเพื่อติดตามแก้แค้นทวงคืนอยู่อย่างเดียว บางรูปธรรมได้จองจำมนุษย์ไว้นานร่วมสองหมื่นปีมาแล้วก็มี
5. เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง รูปธรรมทางพลังงานจิตวิญญาณของผู้ที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ หรือ สัตว์ประจำโลก ที่เคยถูกมนุษย์ทำร้ายให้ทุกข์ทรมานอย่างทารุณ ด้วยการเข่นฆ่าเอาชีวิต และกินเลือดกินเนื้อพวกเขาอย่างเมามัน เช่น หมู เป็ด ไก่ ห่าน วัว ควาย และอื่น ๆ เป็นต้น
6. วิธีการชำระความก็คือ การอยู่เบื้องหลังภัยธรรมชาติที่รุนแรง เพื่อจัดการกับมนุษย์ผู้เป็นบุคคลเป้าหมายที่จะเอาความของ
พวกตนเช่น การโอบอุ้มน้ำฝนไปถล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อก่อให้เกิดอุทกภัยที่รุนแรงต่อมนุษย์ในเป้าหมายชำระของพวกตน การ
ร่วมกันทำให้เกิดฟ้าฝ่าบุคคลเป้าหมาย การทำให้เกิดลมพายุพัดถล่มซ้ำ การทำให้เกิดคลื่นยักษ์ การทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ด้วยการใช้เสียงดังของฟ้าฝ่าในระดับ 30 เดซิเบลขึ้นไปเพื่อเป็นเงื่อนไขให้เกิดการสั่นสะเทือนนั้น การผลักเคลื่อนตัวของรอย
แยกของเปลือกโลกอันเกิดจากการระเบิดในใจกลางโลก การสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่รุนแรง และการระเบิดของภูเขาไฟ
ในสถานที่ ๆ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
7. ชำระความด้วยเสียงอันดัง เพื่อทำลายประสาทหูและใช้พลังงานด้านลบที่เข้มข้น เพื่อทำลายสติและเอาชีวิตมนุษย์เป้าหมายนั้นในฉับพลัน
8. ชำระความมนุษย์ด้วยโรคระบาดร้าย ๆ ที่มากับน้ำเน่าเสีย เช่น อหิวาตกโรคชนิดใหม่ที่มนุษย์ต้องตายภายใน 6 วันหลังการได้รับเชื้อนั้น หรือภัยร้ายจากเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ชื่อ Virusteria ที่มนุษย์โลกไม่เคยรู้จักซึ่งสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วกว่าเชื้อโรคชนิดใด ๆ บนโลกใบนี้
9. ชำระความด้วยความอดอยากหิวโหย ไม่มีที่อยู่ ไม่มีน้ำดื่ม ไม่มีอาหารบริโภค เพราะน้ำท่วมเสียหายหมด และไม่มีใคร
ช่วยเหลือใครได้เพราะต่างต้องประสบเคราะห์กรรมโดยทั่วหน้ากัน
10. ช่วงเวลาแห่งการชำระความครั้งใหญ่ จะใช้เวลานานถึง 7 ราตรี โดยที่ 1 ราตรี หมายถึง การที่โลกจะปกคลุมไปด้วยความมืดมิดคือ มีแต่กลางคืนติดต่อกัน 7 วันเต็ม ๆ ขณะที่ภัยธรรมชาติที่วิปริตแปรปรวนอันเกิดจากน้ำมือของช่างเทคนิค เป็น
ผู้กระทำอยู่เบื้องหลังจะรุกกระหน่ำเอาความกับมนุษย์อย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะปิดตาก็แลเห็นจะปิดหูก็ได้ยิน ทั่วทั้งแผ่นดินจะ
เจิ่งนองไปด้วยน้ำ บอบช้ำไปด้วยพายุถล่ม แผ่นดินถล่ม และตึกสูงใหญ่ที่ถล่มทลายลงมากองเป็นภูเขาเลากา ท่ามกลางเสียง
หวีดกรีดร้องของมนุษย์กับเจ้ากรรมนายเวร ประสานเสียงกันอย่างบาดหัวใจ
11. แผ่นดินบางแห่งจะลุกเป็นไฟ เพราะแสงเพลิงและสายธารของลาวาจากใต้โลก บางแห่งจะยุบตัวลงกลืนเมืองลงไปทั้งเมืองแล้วราดทับด้วยเปลวถ่านร้อน ๆ ของลาวาอย่างน่าพรั่นพรึง
12. แผ่นดินจำนวนมากจะถูกกลืนหายไปใต้แผ่นน้ำ และมหาสมุทรอย่างถาวร เพราะคลื่นยักษ์ แผ่นดินไหว และแรงดูดดึงจากใต้สมุทรจนทำให้เกาะน้อยใหญ่ไม่แตกกระจาย ก็จะจมหายลงไปใต้ผืนทะเลตลอดกาล

หมายเหตุ
ที่วัดพระนอน เมืองแพร่มีการค้นพบคัมภีร์ภาษาโบราณชุดหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าได้เขียนไว้ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2
( พ.ศ. 2310) เมื่อนำมาแปลโดยพระครูนิภัทร กิจอาทร ปรากฎว่าเป็นเรื่องของคำทำนายชะตาของโลก ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส มีใจความบางตอนดังนี้:

“น้ำจะท่วมฟ้า”

“ปลาจะกินดาว”

“มนุษย์จะรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ จะเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น มนุษย์จะสามารถ ขี่ลม ไปได้ในพื้นที่และอากาศมีรอยเหมือนงู ในที่ต่ำจะถูกถมให้สูง ในที่สูงจะถูกขุดแผ่นดินให้ราบเรียบ”

“ชนชาติผิวขาวจะย่นย่อระยะทางให้สั้นเข้า โลกจะเล็กลง คนพูดทางไกล แสนไกลจะได้เห็นหน้ากันและกัน โลกจะมีตาทิพย์หูทิพย์ เสียงทิพย์ บนท้องฟ้าจะมี ลูกไฟ พุ่งเข้าหากันผู้คนจะพกพา อสรพิษติดกายไว้ต่อสู้ เพราะ อวิชชา”

“โจรผู้ร้ายตา 2 ชั้นจะนำพิษมาทำลายโลกมนุษย์ ผู้หญิงจะกลายเป็นผู้ชาย ผู้ชายจะกลายเป็น ผู้หญิง”

ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

หายนะของโลก ใต้เงาคิดนักวิทยาศาสตร์

หายนะของโลก ใต้เงาคิดนักวิทยาศาสตร์


ในทศวรรษที่ผ่านมามี เหตุการณ์ร้ายๆ มากมายที่เกิดขึ้นกับโลกทั้ง ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ อย่างเช่น แผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ คร่าชีวิตมนุษย์หลายแสนคนในเอเชีย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์อย่างการก่อการร้ายด้วยการจี้เครื่องบินโดยสารพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดในนิวยอร์ก ส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์หลายพันคนเสียชีวิต

วันสิ้นโลก

โลกจะอวสานอย่างไร บ้างเชื่อว่าโลกจะถึงกาลอวสานแบบไม่ทันตั้งตัว บ้างทำนายว่าชีวิตบนโลกจะตายอย่างช้าๆ ขณะที่พวกมองโลกแง่ดีหน่อยเชื่อว่า ถึงอย่างไรก็คงหาทางเอาชนะปัญหาได้โดยวิวัฒนาการไปสู่สายพันธุ์อื่นๆ

เซอร์มาร์ติน รีส์ ศาสตราจารย์ด้านจักรวาลวิทยา นักดาราศาสตร์ประจำราชสำนัก และยังเป็นนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเป็นผู้ประพันธ์เรื่อง Our Final Century ด้วย เขาให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อกังวลใจของมนุษย์ในเรื่องนี้ว่า มนุษย์มีโอกาส 50-50 ที่จะผ่านศตวรรษที่ 21 ไปโดยไม่มีภยันอัตรายใดๆ มาแผ้วพาน

"หายนะทางธรรมชาติบางอย่าง เช่น แผ่นดินไหว อุกกาบาตพุ่งชนโลก ยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เหมือนที่เป็นมา ขณะที่ภัยคุกคามอื่นๆ อันเป็นผลจากโลกาภิวัตน์เริ่มหนักหน่วงขึ้น แต่ตอนนี้เราจำเป็นต้องพิจารณาภัยที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ด้วยเช่นกัน" เซอร์มาร์ตินกล่าว

ถ้าเป็นเช่นนั้น ภัยร้ายแรงที่สุดที่คุกคามมนุษยชาติคืออะไร แล้วเราจะรับมือได้หรือไม่ ต่อไปนี้เป็นการสอบถามความคิดเห็นของ 10 นักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอันตรายที่น่ากลัวที่สุดเขาคิดว่าจะเกิดขึ้นกับโลก และสังคมจะได้รับผลกระทบอย่างไร ต่อมาจะเป็นการประเมินภัยคุกคามเป็นสองแนวทาง อันดับแรกเป็นโอกาสที่จะเกิดภัยคุกคามในช่วงอายุขัยของเรา (ในช่วง 70 ปีข้างหน้า) และประการที่สอง เป็นระดับอันตรายที่จะมีผลต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์หากเกิดหายนะภัยขึ้นมา (คะแนนเต็ม 10 หมายถึงระดับที่ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ ลงมาจนถึงระดับ 1 หมายถึงแทบจะไม่มีผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์เลย

1 - การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

นิค บรูค ผู้ช่วยวิจัยอาวุโสจากศูนย์วิจัยสภาพเปลี่ยนแปลงของอากาศไทนดัล ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยอีสต์แองเจียล สหราชอาณาจักรอังกฤษ ให้ความเห็นว่า

"ภายในสิ้นศตวรรษนี้ ปัญหาภาวะเรือนกระจกจะทวีความรุนแรงขึ้น และอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 องศาเซลเซียส อากาศร้อนระดับนี้ถือว่าสูงกว่าที่โลกเคยเผชิญเมื่อหนึ่งล้านห้าแสนปีก่อน สิ่งเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นอาจทำให้อากาศในหลายภูมิภาคของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งอาจส่งผลต่อการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงประชากรโลก และทำให้ระบบสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันพังทลายไปทั่ว ตามมาด้วยการอพยพของผู้คนจำนวนมหาศาล และเกิดปัญหาขัดแย้งจากการแย่งชิงทรัพยากร เนื่องจากพื้นที่ที่เหมาะกับการดำรงชีวิตของมนุษย์จะเริ่มเหลือน้อยลง ผมไม่คิดว่า อากาศที่เปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ไปหรอกนะ แต่แน่นอนว่ามันจะทำให้เกิดการสูญเสียอย่างหนัก"

- โอกาสที่อุณหภูมิจะสูงขึ้นมากกว่า 2 องศาเซลเซียสในอีก 70 ปี (เป็นระดับที่พิจารณาว่าเป็นอันตรายต่อสหภาพยุโรป) : เป็นไปได้สูง

- ระดับอันตราย : 6

2 - การเสื่อมสภาพของเทโลเมียร์

เรนฮาร์ด สตินด์ล แพทย์จากมหาวิทยาลัยเวียนนา บอกว่าสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์มี "นาฬิกาแห่งวิวัฒนาการ" อยู่ในตัวเวลาของนาฬิกาชีวภาพนี้จะเดินผ่านจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง เป็นการเดินถอยหลังจนถึงเวลาที่นำไปสู่ยุคสูญพันธุ์อย่างเลี่ยงไม่ได้

"เทโลเมียร์สเป็นส่วนปลายที่ปิดโครโมโซมมีอยู่ในสัตว์ทุกตัว ถ้าไม่มีเทโลเมียร์สแล้ว โครโมโซมอาจไม่มั่นคง แต่ละครั้งที่เซลล์แบ่งตัวมันจะไม่ก๊อบปี้เทโลเมียร์สอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และตลอดชั่วอายุของเราเทโลเมียร์สจะหดสั้นลง สั้นลง เนื่องจากเซลล์เพิ่มจำนวนตัวเอง ในที่สุดแล้ว เมื่อมันหดสั้นจู๋ เราก็เริ่มมีโรคที่เกี่ยวกับชราภาพมาคุกคาม อย่างเช่น มะเร็ง อัลไซเมอร์ โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองตีบ

"อย่างไรก็ดี การหดสั้นของเทโลเมียร์สไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงที่เรามีชีวิตอยู่จนตายเท่านั้น แต่ทฤษฎีของผมคือ ความยาวของเทโลเมียร์สที่ส่งผ่านจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งก็ยังมีขนาดหดสั้นลงด้วยเช่นกัน สะท้อนถึงกระบวนการชราภาพของแต่ละคน และเมื่อเทโลเมียร์สถูกส่งผ่านมาเป็นพันรุ่นมันจะเริ่มกร่อนจนถึงระดับวิกฤติ เมื่อถึงวันนั้นเราจะพบว่าโรคที่เกี่ยวกับคนชราจะระบาดไปทั่วตั้งแต่อายุยังน้อย จนสุดท้ายจะทำให้เกิดภาวะประชากรขาดแคลน การกร่อนของเทโลเมียร์สอาจใช้อธิบายการสูญพันธุ์ของมนุษย์บางสายพันธุ์ได้ อาทิ นีแอนเดอร์ธัล โดยไม่ต้องเอาปัจจัยภายนอกอย่างการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมาพิจารณา"

โอกาสที่จะเกิดภาวะประชากรลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้น้อย

ระดับอันตราย : 8

3 - การระบาดของเชื้อไวรัส

ศาสตราจารย์มาเรีย แซมบอน นักไวรัสวิทยาและหัวหน้าห้องปฏิบัติการเชื้อไข้หวัดใหญ่ของสำนักงานป้องกันสุขภาพแห่งราชอาณาจักรอังกฤษ มองว่า "เมื่อปลายศตวรรษก่อน เกิดการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่อย่างรุนแรง 4 รอบ พร้อมกับการระบาดของเชื้อเอชไอวีและซาร์ส การระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลกจะเกิดขึ้นทุกรอบร้อยปี และคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอย่างน้อยอีกครั้งในอนาคต ณ ขณะนี้ เชื้อที่สร้างความหวาดวิตกมากที่สุดคือเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 5 ที่ระบาดในไก่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าไวรัสตัวนี้เรียนรู้วิธีการส่งเชื้อจากคนสู่คนแล้ว การระบาดจะแพร่ลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี ค.ศ. 1918 ได้คร่าชีวิตประชากรโลกไปแล้ว 20 ล้านคน ภายในปีเดียว มากกว่าคนที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยซ้ำไป หากเกิดการระบาดอีกครั้งตอนนี้ก็คงส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่า"

"ไวรัสไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่ว่าจะฆ่าทุกชีวิตที่มันเข้าไปอาศัยอยู่ ดังนั้น จึงไม่สามารถทำลายมนุษย์จนสูญพันธุ์ แต่มันจะส่งผลกระทบรุนแรงเป็นเวลาหลายปีทีเดียว เราไม่สามารถเตรียมตัวได้อย่างสมบูรณ์เพื่อรับมือกับผลที่เกิดจากน้ำมือธรรมชาติ โดยเนื้อแท้แล้ว ธรรมชาติเป็นผู้ก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพตัวจริง"

โอกาสที่จะเกิดการระบาดของไวรัสในอีก 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้สูง

ระดับอันตราย :3

4 - การก่อการร้าย

ศาสตราจารย์พอล วิลคินสัน ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาประจำศูนย์ศึกษาการก่อการร้าย และความรุนแรงด้านการเมือง มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ สหราชอาณาจักร ให้ทัศนะว่า

"สังคมทุกวันนี้มีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายมากยิ่งขึ้น เพราะกลุ่มที่อาฆาตมาดร้ายสามารถหาวัสดุที่จะนำมาใช้ก่อการได้ง่ายขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในการสร้างอาวุธทำลายสูง การก่อการร้ายที่ส่งผลให้เกิดการล้มตายเป็นจำนวนมากในปัจจุบันคืออาวุธชีวภาพ และอาวุธเคมี การปล่อยเชื้อบางอย่างเป็นจำนวนมากๆ อย่างเช่น แอนแทรกซ์ ไวรัสฝีดาษ อาจส่งผลกระทบอย่างมหาศาล และการติดต่อสื่อสารระหว่างพรมแดนในยุคใหม่จะทำให้กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว

"ในสังคมเปิด ซึ่งเราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เราไม่สามารถจะหยุดยั้งการจู่โจมได้เลย และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดการโจมตีขึ้นสักแห่งในโลกในชั่วอายุของเรานี้"

- โอกาสที่จะเกิดการโจมตีด้วยการก่อการร้ายครั้งใหญ่ในช่วง 70 ปีหน้า : เป็นไปได้สูงมาก

ระดับอันตราย : 2

5 สงครามนิวเคลียร์

พลอากาศเอกลอร์ด การ์เดน โฆษกกระทรวงกลาโหมประจำพรรคเสรีประชาธิปไตยแห่งสหราชอาณาจักร และผู้แต่งหนังสือเรื่อง Can Deterrence Last?

"ในเชิงทฤษฎีแล้ว สงครามนิวเคลียร์อาจทำลายความรุ่งเรืองของมนุษย์ แต่ในทางปฏิบัติ ผมคิดว่าอันตรายดังกล่าวอาจผ่านพ้นไปแล้ว ปัจจุบัน มีจุดที่อาจก่อให้เกิดสงครามนิวเคลียร์อยู่ 3 แห่ง ได้แก่ ตะวันออกกลาง อินเดีย-ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ แน่นอนว่าเกาหลีเหนือเป็นจุดที่น่าวิตกมากที่สุด เนื่องจากมีกองทัพรูปแบบเก่าพร้อมจะลั่นไกก่อสงครามได้โดยไม่ตั้งใจ แต่ผมอยากที่จะเชื่อว่ายังมีอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์อยู่ เนื่องจากเราได้พัฒนาระบบระหว่างประเทศที่ยับยั้งการใช้อาวุธนิวเคลียร์

"ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ในระดับโลกนั้นต่ำมาก แม้ว่ายังมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีประเทศนอกคอก หรือพวกหัวรุนแรงอยู่ก็ตาม"

- โอกาสที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้ต่ำ

- ระดับอันตราย : 8

6 อุกกาบาตชนโลก

โดนัลด์ เยาแมนส์ ผู้จัดการสำนักงานโครงการวัตถุใกล้โลกของนาซา จากห้องปฏิบัติการระบบขับเคลื่อนไอพ่นในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ มีความเห็นว่า "ความเสี่ยงที่เราจะตายจากอุกกาบาตพุ่งชนเปรียบคร่าวๆ เหมือนกับโอกาสที่เราจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก อุกกาบาตที่จะทำให้ความรุ่งเรืองของมนุษย์ต้องสูญสิ้นนั้นต้องเป็นอุกกาบาตที่มีขนาดกว้าง หรือยาวประมาณ 1.5 กม. เราคาดกันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกล้านปีโดยเฉลี่ย อันตรายที่เกี่ยวข้องกับอุกกาบาตชนโลกนั้นรวมถึงปริมาณฝุ่นจำนวนมหาศาลที่ลอยขึ้นไปในอวกาศจนปิดกั้นไม่ให้แสงแดดส่องลงมาบนพื้นโลกนานหลายสัปดาห์ ซึ่งจะมีผลต่อต้นไม้และพืชไร่ ที่ค้ำจุนสิ่งมีชีวิต อาจจะเกิดไฟไหม้ทั่วโลกอันเป็นผลมาจากความร้อนพุ่งออกมาจากใต้พื้นโลก และยังเกิดฝนกรดที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก ผลกระทบดังที่เอ่ยมานี้แม้จะเกิดในช่วงระยะเวลาสั้น ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวเองได้ดีที่สุดอย่างแมลงสาป และมนุษย์ เป็นต้น ยังมีชีวิตอยู่รอดได้"

- โอกาสที่โลกจะถูกอุกกาบาตพุ่งชนใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้ปานกลาง

- ระดับอันตราย : 5

7 หุ่นยนต์ครองโลก

ฮันส์ โมราเวก ศาสตราจารย์จากสถาบันหุ่นยนต์ มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน ในเมืองพิตต์สเบิร์ก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ระบบการควบคุมด้วยหุ่นยนต์มีความสลับซับซ้อนในการประมวลผลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกปี หรือทุกสองปี แต่ความซับซ้อนของมันตอนนี้ยังอยู่ในระดับแค่สัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ แต่ในอีก 50 ปีข้างหน้าความสามารถในการคิดซับซ้อนของหุ่นยนต์จะไล่ตามทันมนุษย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ผมทำนายว่า จะมีหุ่นยนต์ที่มีพลังสมองทัดเทียมมนุษย์ โดยจะสามารถคิดในเชิงนามธรรม และแสดงความเห็นได้

"เครื่องจักรที่มีสติปัญญาเหล่านี้เราจะเป็นคนเลี้ยงดู และมันจะเรียนรู้ทักษะของเรา รับรู้เป้าหมายและคุณค่าของเรา และเราอาจรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ หุ่นยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ดูแลเราในบ้านเท่านั้น แต่ยังสามารถทำงานที่ซับซ้อนที่ปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยความสามารถของมนุษย์ เช่น การวินิจฉัยโรค และการให้คำแนะนำในการรักษา หรือบำบัด หุ่นยนต์จะเป็นทายาทสืบทอดของมนุษย์ และจะเสนอโอกาสที่ดีที่สุดให้เรากลายเป็นอมตะได้โดยการถ่ายโอนข้อมูลของตัวเราเองไปใส่ไว้ในหุ่นยนต์ที่มีความสามารถล้ำหน้า"

- โอกาสที่จะมีหุ่นยนต์ที่มีความสามารถทางปัญญาเป็นเลิศใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้สูง

- ระดับอันตราย : 8

8 - แรงระเบิดจากรังสีคอสมิกจากการระเบิดของดาว

เนียร์ ชาวีฟ อาจารย์ฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยฮิบรู ในเยรูซาเล็ม อิสราเอล กล่าวว่า ทุกสองสามทศวรรษ ดาวขนาดใหญ่ที่อยู่ในจักรวาลทางช้างเผือกจะหมดพลังงานและเกิดระเบิดขึ้น ซึ่งเรียกว่า ซูเปอรโนวา รังสีคอสมิก (อนุภาคพลังงานระดับสูงอย่าง รังสีแกมมา) จะแผ่รังสีออกไปทุกทิศทาง และถ้าโลกอยู่ในวิถีของรังสี จะทำให้เกิดยุคน้ำแข็งขึ้น ถ้าโลกมีอากาศที่หนาวเย็นอยู่แล้ว รังสีคอสมิกจากการระเบิดของดาวอาจทำให้โลกกลายเป็นไอติม และอาจทำให้สัตว์สายพันธุ์ต่างๆ สูญพันธุ์ โลกมีความเสี่ยงสูงเมื่อโคจรผ่านเกลียวของดาราจักรทางช้างเผือก ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดซูเปอร์โนวามากที่สุด การระเบิดซูเปอร์โนวาจะเกิดขึ้นทุก 150 ล้านปี

ดัชนีบ่งชี้สภาพอากาศยุคบรรพกาลแสดงให้เห็นว่าโลกเคยผ่านยุคน้ำแข็งมาแล้ว โดยพบน้ำแข็งจำนวนมากที่ขั้วโลก และน้ำแข็งหลายชิ้นมีอายุอยู่ในช่วงดังกล่าว

"เราใกล้จะโคจรออกจากเกลียวแขนซากิตทาริอุส-คารินาของดาราจักรทางช้างเผือก และโลกควรมีสภาพอากาศร้อนขึ้นในสองสามล้านปี แต่ในอีก 60 ล้านปี เราจะเขาไปสู่เกลียวแขนเพอร์ซีอุส ยุคน้ำแข็งก็จะกลับมาอีกครั้ง"

- โอกาสที่โลกจะเผชิญกับซูเปอร์โนวาใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้น้อย

- ระดับอันตราย : 4

9 ภูเขาไฟระเบิด

ศาสตราจารย์ บิล แมคกุยรี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติเบนฟิลด์จากมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน และยังเป็นสมาชิกคณะทำงานศึกษาภัยธรรมชาติของโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ พูดถึงเรื่องนี้ว่า "โดยเฉลี่ยแล้วทุก 50,000 ปี โลกจะเกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ซึ่งจะส่งเถ้าถ่านภูเขาไฟที่ถูกพ่นออกมาจะปกคลุมพื้นที่ราว 1,000 ตารางกิโลเมตร ทวีปที่อยู่ใกล้เคียง จะเต็มไปด้วยเถ้าถ่าน และก๊าซซัลเฟอร์จะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นม่านกรดซัลฟูริกคลุมรอบโลก ทำให้แสงแดดไม่สามารถส่องลงมายังพื้นโลกได้ กลางวันจะดูไม่ต่างไปจากกลางคืนวันเพ็ญ

"ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ ขึ้นอยู่ว่าเกิดขึ้นที่ไหน และก๊าซลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศนานแค่ไหน เมื่อประมาณ 26,500 ปีมาแล้ว ภูเขาไฟเตาโปของนิวซีแลนด์เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ทว่า ความเสียหายครั้งสำคัญจากภูเขาไฟระเบิดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือภูเขาไฟ โทบา บนเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย เมื่อ 74,000 ปีก่อน เนื่องจากเกิดระเบิดใกล้กับเส้นศูนย์สูตรทำให้ก๊าซกระจายไปยังซีกโลกเหนือและใต้อย่างรวดเร็ว เมื่อศึกษาแกนน้ำแข็งทำให้รู้ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว 5-6 ปีหลังจากนั้น โดยพื้นที่แถบเส้นทรอปิคมีสภาพเย็นเป็นน้ำแข็ง

"โอกาสที่จะเกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่เป็นไปได้มากกว่าอุกกาบาตขนาดใหญ่ชนโลก 12 เท่า แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในชั่วอายุคนปัจจุบันนี้มีเพียง 0.15% ส่วนสถานที่ที่ควรจับตาดูคือ บริเวณที่เคยเกิดระเบิดในอดีต เช่น เยลโล่สโตน ในสหรัฐ และโทบา แต่พื้นที่บริเวณอื่นในโลกที่น่ากังวลมากกว่าคือ อาจเกิดภูเขาไฟระเบิดรุนแรงในพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างเช่นบริเวณป่าฝนอะเมซอน"

- ความเป็นไปได้ที่จะเกิดภูเขาไฟระเบิดรุนแรงใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้สูงมาก

- ระดับอันตราย : 7

10 โลกจะถูกหลุมดำดูด

ริชาร์ด วิลสัน ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์จากศูนย์วิจัยมัลลินก์ครอดต์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า ประมาณ 7 ปีก่อน ห้องปฏิบัติการแห่งชาติบรูคเฮฟเวนในนิวยอร์กได้สร้างเครื่องชนไอออนหนักที่เรียกว่า Relativistic Heavy Ion Collider ขึ้นมาเนื่องจากมีความกังวลว่า สสารที่มีความหนาแน่นอาจก่อรูปขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในสมัยนั้นจัดว่าเป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างขึ้นมา เพื่อให้ไอออนทองคำชนกันด้วยแรงมหาศาล ซึ่งอาจทำให้เกิดความหนาแน่นพอที่จะทำให้เกิดหลุมดำขึ้นมาได้จากพลังที่ดูดสสารข้างนอก ห้องแล็บบรูคทำให้เกิดความหวั่นเกรงว่า เครื่องเร่งปฏิกิริยาตัวใหม่นี้จะทำให้เกิดหลุมดำขึ้นและทำให้โลกอวสานได้หรือไม่

"เมื่อดูจากข้อมูลที่เราได้ศึกษาจากหลุมดำที่อยู่นอกอวกาศ เราได้ทำการคำนวณเพื่อศึกษาว่าเครื่องเร่งอนุภาคของบรูคเฮฟเวนจะสามารถทำให้เกิดหลุมดำได้หรือไม่ ซึ่งเราค่อนข้างแน่ใจว่า การทดลองในห้องแล็บจะไม่ทำให้เกิดหลุมดำ และโลกจะไม่ถูกกลืนหายไปจากการชนของอนุภาคเหล่านี้

- โอกาสที่โลกจะถูกหลุมดำกลืนใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้น้อยอย่างยิ่ง

- ระดับอันตราย : 10

เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศ

เหตุการณ์ในต่างประเทศเกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกคลื่นยักษ์ที่มาพร้อมกับพายุไซโคลนกระหน่ำ ทั้งเกาะจะถูก
ลบหายไปจากแผนที่โลก

พิลิปปินส์ ถูกพายุไซโคลนกระแทก ก่อนเกิดเหตุจะแลเห็นน้ำทะเลเป็นสีดำหม่นหมอง บรรยากาศหดหู่ เวิ้งว้าง ไม่นานนัก
จะเกิดพายุไซโคลนก่อตัวขึ้น พายุไซโคลนที่รุนแรง ข้างล่างดูด ข้างบนตี กระแทก จนกระทั่งเกาะทุกเกาะจมหายลงไปใน
ท้องทะเล

ไอแลนด์เหนือและใต้ อากาศหนาวจัด อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ในขนะเดียวกันจะถูกคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ ในขณะที่
หนาวจัดนั่นเอง

ฮ่องกง ถูกทะเลคลั่ง น้ำทะเลสูง ชินจุงจะหายถาวร เกาะสนามบินแห่งใหม่ จะถูกคลื่นตีแตกหายไปในทะเล ในบริเวณแถบ
นั้นจะเหลือแต่เพียงเกาะเกาลูน และประเทศจีนบางส่วนเท่านั้น
เกาะมาเก๊า เผชิญพายุฝนอย่างหนัก รวมทั้งคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ จนกระทั่งเกาะทรุดเอียง น้ำทะเลขึ้นสูง ยามรุ่งเช้า
หลังจากพายุสงบ จะเหลือเพียงโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งกับบาทหลวง ที่กำลังสวดมนต์ภาวนาเพียง 3 รูปเท่านั้น

นิวซีแลนด์ถูกพายุโซนร้อนถล่ม ฝนที่ตกลงมาจะมีเม็ดโตเท่าลูกเห็บ น้ำท่วมสูงแต่เกาะจะไม่สูญหายถาวร

สหรัฐอเมริกาจะถูกพายุที่รุนแรงถล่มอย่างหนักหน่วง พร้อมทั้งเกิด แผ่นดินไหวฉับพลัน 24 ริกเตอร์ เป็นระยะเวลานานถึง
8 ชั่วโมง ซี่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกนี้ อเมริกาจะถูกแบ่งออกเป็นสองซีก กลายเป็นเกาะ 2 เกาะ นิวยอร์กจะทรุดตัว
เหลือเพียงบางส่วน นอกนั้นจะจมหายลงไปในท้องทะเลจนหมดสิ้นตุรกี แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง 16 ริกเตอร์

คิวบา จมหายลงไปใต้ทะเล ( ห่างจากอเมริกา 10 นาที )

เกาะสิงคโปร์ หายไปจากแผนที่โลก เนื่องจากถูกพายุไซโคลนกระแทกอย่างหนักอินโดนีเซียถูกพายุไซโคลนกระแทก
จนกระทั่งหายไปจากโลก
เหมือนเช่นที่ ปิลิปปินส์ จะเหลือเพียงเกาะเล็กๆ ในส่วนที่เคยเป็นยอดเขาของกรุงจากาต้าเท่านั้น

เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เกิดน้ำท่วมใหญ่ แม่น้ำกลายเป็นทะเล แผ่นดินซีกตะวันออกจะจมหายไปทั้งหมด เกาหลีใต้จะ
จมหาย

ประเทศญี่ปุ่นหายไปจากโลก
ก่อนเกิดเหตุจะมีบรรยากาศเงียบงัน วังเวง หดหู่เวิ้งว้าง มนุษย์จะเห็นเหตุการณ์ประหลาด เมฆสีเทาก้อนใหญ่ 2 ก้อน
ลอยเคลื่อนตัวเข้าหากัน แล้วชนกันแตกกระจายเป็นฝนเม็ดโตๆ ใต้ทะเลเกิดคลื่นไซโคลนขยายตัว พุ่งเข้าหาหมู่เกาะ จะ
กระแทกทุกเกาะเหมือนล้อมรั้ว เกาะทุกเกาะจมหายลงไปในทะเล

ไต้หวัน เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ตอนกลางเกาะถูกแบ่งออกเป็นสองซีก จากนั้นจะโดนคลื่นยักษ์กระหน่ำซ้ำเติม เกาะ
ทั้งเกาะจะจมหายไปแผ่นดินที่สาบสูญ

สหรัฐอเมริกา ( แผ่นดินถูกผ่ากลางหายสาบสูญไปหลายรัฐ กลายเป็นเกาะ 2 เกาะ ) เม็กซิโก ( บางส่วนจะกลายเป็นเกาะ
) แคนาดา ( จะกลายเป็นหมู่เกาะใหญ่ น้อยมากมาย ) ไต้หวัน ญี่ปุ่น กัวเตมาลา เม็กซิโกซิตี้ เบนนิส ฮอนดูลัส เอล
สวาดอร์ นิคารากัว คอสตาริก้า ไหหลำ แผ่นดินจีนด้านตะวันออก เซี่ยงไฮ้ มาเก๊า พิลิปินส์ ศรีลังกา ฯลฯ

วิกฤตการณ์เลวร้ายน่าหวาดหวั่นจะบังเกิดขึ้นทั่วโลก ความหวาดกลัวไม่จำเป็นจะต้องรับรู้ผ่านหน้าจอทีวี เพราะมนุษย์ทุก
คนบนโลก จะได้รับรู้รสชาติแห่งความกลัวตายทุกคน
!!มนุษย์ที่รอดชีวิตไปได้จะเข้าสู่ยุคใหม่จะมีจิตใจที่ดีงาม และมีอายุขัยที่ยืนยาวจนน่าประหลาดใจ มีอารยธรรเจริญก้าวหน้า
โดยที่มิได้สร้างเทคโนโลยี่ที่ก่อปัญหา ให้กับโลกมากมายเช่นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อสื่อสาร กับเพื่อนมนุษย์จากต่างดาวได้ ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันบางคนก็ไม่เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง
ก็ตามประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของโลก และเป็นประเทศแรกที่มีผู้สร้างยานอวกาศไปท่องจักรวาลได้ เป็นแห่งเดียว
ของโลก โดยใช้พลังจิตในการขับเคลื่อน โดยที่ไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้ ให้เกิดพลังงานที่ทำลายสิ่งแวดล้อม และ
ทรัพยากรธรรมชาติของโลก ให้เสียหายอย่างเช่นในปัจจุบัน

นอกจากนี้ต่อมไพนีล หรือตาที่ 3 ของมนุษย์ จะถูกฟื้นฟูขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนสามารถเข้าถึงสภาวะ
นิพพานได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตในระยะเวลาไม่นานนัก ( ภายใน 6 ปี )
พระศรีอริยะเมตไตรยจะเปิดเผยพระองค์ เพื่อปลอบประโลมสร้างขวัญกำลังใจให้กับมวลมนุษยชาติ ที่มีความบอบช้ำทาง
จิตใจ ซึ่งในขณะนี้พระองค์ท่านได้เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์แล้ว กำลังเป็นสามเณรในพุทธศาสนา และพระองค์ได้มาปรากฎ
ที่ประเทศไทยนี่เอง
แผ่นดินไทยที่สาบสูญ

บริเวณที่หายถาวรทั้งแผ่นดิน นราธิวาส สตูล พังงา ภูเก็ต หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะ ตะรูเตา หมู่เกาะทะเล
ตรัง ตราด เกาะช้าง หมู่เกาะทะเลตราด เกาะสมุย เกาะพงัน หมู่เกาะอ่างทอง ชะอำบริเวณที่เหลือเพียงบางส่วน แต่จะ
กลายเป็นเกาะเล็กๆเกาะยะลา เกาะปัตตานี เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-ชุมพรบริเวณที่หาย
เป็นส่วนใหญ่ จะเหลือเพียงบางส่วนยะลา หาดใหญ่ พัทลุง ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี
มุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี สมุทรปราการ อุบลราชธานี แผ่นดินริมแม่น้ำโขงตลอดแนว
กาญจนบุรี ฯลฯ

ประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่พื้นที่ในส่วนภาคกลางอันเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ และบริเวณในส่วน
ของภาคใต้ที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 เกาะใหญ่ๆ ได้แก่

1. บริเวณตั้งแต่ชุมพรฝั่งตะวันตก ท่าแซะ ระนอง สุราษฎร์ธานีฝั่งตะวันตก บริเวณด้านบนของอำเภอพนม อ.เทียนชา อ.
บ้านนาเดิม นครศรีธรรมราชตอนบน ขนอม

2. บริเวณตั้งแต่จังหวัดกระบี่ นครศรีธรรมราช ที่ต่อแดนกับจังหวัดกระบี่ด้านบน ฉวาง ร่อนพิบุลย์ ชะอวด จังหวัดตรังด้าน
ตะวันออก จังหวัดพัทลุงด้านตะวันตก หาดใหญ่ จังหวัดยะลา ด้านตะวันตกนอกจากนี้ยังมีเกาะเล็ก เกาะน้อยที่เกิดขึ้นมา
ใหม่อีกหลายเกาะ ได้แก่เกาะสัตบ เกาะยะลา เกาะปัตตานี เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-
ชุมพร

บริเวณที่จะกลายเป็นพื้นที่ติดกับทะเล
ดินแดนที่จะมีอาณาเขตติดกับทะเล ได้แก่ สงขลาทางด้านตะวันตก ยะลาทางด้านตะวันออก หาดใหญ่ กระบี่ตอนบน ด้าน
ที่ติดกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี และด้านที่ติดกับจังหวัดพังงา ตอนกลางของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่ อ.พนม อ.เคียงซา
จรดเขตจังหวัดกระบี่ ชุมพรด้านใน ท่าแซะ ตอนล่างของเมืองประจวบคีรีขันธ์ และถนนเพชรเกษมฝั่งตะวันออกตลอดแนว
ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถนนชลบุรี-ปากท่อ ช่วงสมุทรสงครามและสมุทรสาคร ตัวเมืองแปดริ้ว บ้านค่ายปลวกแดง จ.
ระยอง ตัวเมืองจันทรบุรี และตลาดท่าใหม่วังน้ำเย็น จรด จ.สระแก้ว เหนือเขื่อนเขาแหลมด้านตะวันตก กาญจนบุรี ศรีสะ
เกษ อุบลราชธานี มุกดาหาร สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย อำนาจเจริญ บ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก อุตรดิตถ์
ด้านที่ติดกับประเทศลาว น่าน ด้านตะวันออกตอนล่าง บ้านสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะกลายเป็นดินแดนชายฝั่งทะเล !ประเทศไทยเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะได้รับการปกป้อง คุ้มครอง
รักษาไว้ ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจากมหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลก และจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำซึ่งมีความเจริญเป็น
ศูนย์กลางของโลกต่อไป

ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

ระทึก..วันสิ้นโลก

ระทึก..วันสิ้นโลก



เรื่อง ขอให้มีการศึกษาข้อเท็จจริงและผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมจากปรากฏการณ์ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัว

กราบเรียน ประธานคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร (นายนพดล พลเสน)

สิ่งที่ส่งมาด้วย
๑. เอกสารแปลจากสำนักข่าวอินเดียเดลี่ วันที่ 1 มีนาคม 2548 เรื่อง แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์คาดการณ์ว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กในโลกและดวงอาทิตย์ จะนำมาซึ่งการสิ้นสุดของอารยธรรมมนุษยชาติในปี ค.ศ. ๒๐๑๒
๒. เอกสารแปลจากบทความต่างประเทศ เรื่อง การเคลื่อนตัวของขั้วแม่เหล็กโลก และการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกในปี ค.ศ. ๒๐๑๒

ด้วยกระผมนายเอกอิสโร วรุณศรี ได้มีโอกาสรับทราบข้อมูลจากทางอินเทอร์เนต ซึ่งได้มีการนำเสนอเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่าขั้วแม่เหล็กโลกพลิก (Magnetic Pole Reversal) ซึ่งจากการที่ได้ศึกษาจากเว๊บไซต์ต่างๆ พบว่า เรื่องดังกล่าว มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นได้จริง ทั้งมีสถาบัน หรือองค์กรที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เช่น องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ออกมายืนยันถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัวที่จะเกิดขึ้นใน ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ หรือ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่จะถึงอันใกล้นี้ ซึ่งหากท่านประธานคณะกรรมาธิการฯ จะได้พิจารณาจาก เอกสารที่กระผมส่งมาด้วยนี้ ซึ่งเป็นแต่เพียงข้อมูลเพียงส่วนน้อย ที่กระผมจะสามารถแปลจากภาษาต่างประเทศ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก และไม่สามารถนำมาเสนอได้ทั้งหมด จะเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความร้ายแรงต่อมวลมนุษยชาติทั้งโลก

แต่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่ในประเทศไทยเองกลับไม่มีการกล่าวถึงปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในแวดวงนักวิชาการ ทั้งที่ผลกระทบข้างเคียงในระหว่างกระบวนการที่จะเกิดการพลิกตัวของขั้วโลก จะส่งผลต่อสภาวะแวดล้อม รวมทั้งวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งอาจจะต้องเผชิญกับอุบัติภัยต่างๆ มากมาย ดังที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นลมพายุรุนแรง ภาวะฝนตกหนัก น้ำท่วม ดินถล่ม หรือบางพื้นที่เกิดความแห้งแล้ง รวมทั้งแผ่นดินไหว ล้วนแล้วแต่เป็นผลเกิดจากกระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กโลกเกิดการเคลื่อนตัว และจะนำไปสู่การพลิกตัวของขั้วแม่เหล็กในที่สุด

กระผมจึงใคร่ขอเสนอต่อท่านประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ เพื่อเชิญหน่วยงาน และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มาให้ข้อมูลในเรื่องนี้ เพื่อที่จะนำไปสู่การศึกษาข้อเท็จจริงและผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมจากปรากฏการณ์ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัวดังกล่าว และแจ้งให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบ หากจะนำมาซึ่งการเผชิญกับภัยพิบัติที่อาจมีขึ้นตามมา

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
นายเอกอิสโร วรุณศรี)

แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์คาดการณ์ว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กในโลกและดวงอาทิตย์ จะนำมาซึ่งการสิ้นสุดของอารยธรรมมนุษยชาติในปี คศ. 2012

1 มีนาคม 2548
จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่ม นักธรณีฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่าทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี คศ. 2012

โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์ จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี คศ. 2012

การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยเกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปพร้อมกับการสลับขั้วของดวงอาทิตย์ที่จะมีขึ้นในทุกๆ 11 ปี ในปี คศ. 2012 แล้ว ปัญหาอันใหญ่ยิ่งจะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสมัยใหม่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นนี้ยังไม่เคยได้มีการการบันทึกไว้ จะมีก็แต่เพียงแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่จะสามารถทำนายผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้นได้ เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคง แต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์

แต่จากแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของ Hyderabad กลับพบว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์นั้น สามารถที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างรุนแรงที่มากไปกว่าแค่การทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์เท่านั้น พวกนกที่อพยพย้ายถิ่นอยู่ตามฤดูกาลจะสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทางและอื่นๆ ตามมาอีก เช่น
- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์ต่างๆ รวมถึงมนุษย์จะอ่อนแอลง
- โลกจะประสบกับการเพิ่มความถี่ของการเกิดภูเขาไฟระเบิด, การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก, แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม ที่จะมีมีสูงขึ้นกว่าปรกติ
- สภาวะความเป็นแม่เหล็ก (Magnetosphere) ของโลกจะอ่อนตัวลง และการแผ่รังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายจากการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น มะเร็งและอื่นๆ อีก ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
-กลุ่มเทหวัตถุในอวกาศขนาดใหญ่จะถูกดึงดูดเข้ามายังโลกอย่างมากมาย
-แรงดึงดูดของโลกจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ถ้าคุณรวมเอาเหตุการณ์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดการทำลายล้างเหล่านี้ทั้งหมดมาผนวกรวมกันแล้ว คุณก็จะสามารถอธิบายสิ่งที่คุณจะมองเห็นด้วยคำง่ายๆ ว่า โลกอาจจะไม่ใช่ที่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษยชาติในปี คศ. 2012 และผู้คนทั้งหลายผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนพื้นผิวโลกหรือใกล้กับพื้นผิวโลก สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ผิวโลกที่ลึกลงไปเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่รอด

โดยปราศจากการแทรกแซงใดๆ ในกระบวนการที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาตินี้ คงเป็นเวลาอีกหลายล้านปีถัดจากนี้ เราจึงจะได้เห็นรูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่หรือมีความชาญฉลาด ที่จะกลับมาครอบครองบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเหมือนดังเช่นที่ได้เคยเกิดขึ้นในห้วงที่เกิดคลื่นสึนามิ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกงงงวย และเฝ้าจ้องมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างคิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แล้วในที่สุดมันก็พัดพาเราออกไปสู่ท้องทะเล

ถ้าแบบจำลองนี้ถูกต้องแม่นยำ นั่นหมายถึงว่าหนทางเดียวเท่านั้นสำหรับพวกเราที่จะอยู่รอดเพื่อที่จะรักษาอารยธรรมของเราเอาไว้ต่อไป นั่นก็คือการลงไปอาศัยอยู่ใต้พื้นผิวโลกหรือไม่ก็อพยพเคลื่อนย้ายไปอาศัยยังดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับดาวอังคารเมื่อย้อนหลังไปหลายล้านปีที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวที่ไม่ปรกติของผู้มาเยือนจากนอกโลกหมายถึง UFO ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าอาจมีใครบางคนจากนอกโลกรู้ว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ อาจบางทีพวกเขาอาจจะกำลังจะพยายามที่จะช่วยเหลือพวกเราอย่างเงียบๆ ด้วยการจำลองภาพเหตุการณ์เพื่อเป็นการบอกเตือน หรือแม้แต่ย้ายพวกเราไปยังจุดหมายปลายทางที่ไหนสักแห่งที่เราไม่อาจรู้ได้.


ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

วันสิ้นโลก ในทัศนะของด.ร.สุทัศน์ ยกล้าน

วันสิ้นโลก



คนโบราณเชื่อว่าทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ สงครามจะเกิด ภูเขาไฟจะระเบิด และโรคร้ายจะระบาด ฯลฯ ปราชญ์ Aristotle ได้เคยกล่าวไว้ว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ ที่ได้ท่วมทำลายมหานคร Helice และ Bura ของกรีกโบราณนั้นเกิดขึ้นเมื่อดาวหางปรากฏ คัมภีร์ไบเบิลก็ได้บันทึกว่า ก่อนที่นคร Sodom และ Gomorah จะถูกพระเจ้าทำลาย ผู้คนในเมืองก็ได้เห็นดาวหางปรากฏบนฟ้าเช่นกัน และเมื่อดาวหางโผล่ในปีที่จักรพรรดิ Attila Valerian และ Caesar เสด็จสวรรคต ชาวบ้านก็ยิ่งปักใจเชื่อว่า ดาวหางกับการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ เป็นของคู่กัน

ส่วนในประเทศญี่ปุ่นนั้น องค์จักรพรรดิ์จะทรงมีพระราชบัญชาให้นักบวชประจำราชสำนักทำพิธีบวงสรวงขอความปรานีจากพระผู้เป็นเจ้าเวลาดาวหางโผล่ และจะทรงห้ามประชาชนมิให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจนกว่าดาวหางจะลับหายไป จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นพระองค์หนึ่งได้ทรงหวาดกลัวดาวหางมาก ถึงกับทรงสละราชบัลลังก์ เมื่อมีดาวหางปรากฎในรัชสมัยของพระองค์

เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้น ผู้คนก็ชักจะเริ่มสงสัยในความเชื่อที่ว่าดาวหางเป็นดาวอัปมงคล จักรพรรดิ์ Nepoleon ซึ่งประสูติในปีที่ดาวหางปรากฏ ได้ทรงประกาศว่า ดาวหางคือสัญญาณจากพระเจ้าที่ทรงกำหนดมาให้พระองค์ได้เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศรัสเซีย (พระองค์ไม่ได้เป็น)

ถึงแม้ว่าคนส่วนมาก จะรู้สึกผวากลัว เมื่อเห็นดาวหาง แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกยินดีเป็นที่ยิ่งเมื่อเห็นดาวหาง เขาเหล่านั้นคือบุคคลที่เห็นดาวหางเป็นคนแรก ประเพณีกำหนดไว้ว่า ใครที่เห็นดาวหางดวงที่ยังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ชื่อของเขาจะเป็นชื่อของดาวหางดวงนั้นทันที ดาวหางจึงมีชื่อต่างๆ นานา เช่น Alcock Asaki, Kohoutek และ Austin เป็นต้น

ในปี พ.ศ. 2371 นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ W. Olbers ได้คำนวณว่าดาวหาง Biela จะโคจรผ่านโลกในระยะใกล้มาก ฝุ่นละอองจากดาวจะทำให้อากาศบนโลกเป็นพิษ คนทั่วไปเมื่อได้ยิน ได้ฟังคำพยากรณ์นี้ได้รู้สึกตื่นกลัวว่า Biela จะชนโลก แต่เมื่อ D. Arago นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้คำนวณทางโคจรของ Biela ใหม่ และพบว่าระยะใกล้ที่ว่านั้นคือ 80 ล้านกิโลเมตร ผู้คนที่เคยใจหายก็เริ่มหายใจได้เป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2405 นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันสองท่านคือ L. Swift และ H. Tuttle ได้เห็นดาวหางดวงใหม่ และขณะนี้ดาวหาง Swift-Tuttle กำลังผ่านใกล้โลกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2541 B. Marsden แห่ง Haward-Smithsonian Center for Astrophysics ได้พยากรณ์ว่า Swift-Tuttle ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 กิโลเมตร อาจจะชนโลก ในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2669 ซึ่งเป็นเวลาที่ Swift-Tuttle จะโคจรกลับมาใกล้โลกอีกครั้ง และโอกาสการตูมกันกลางอวกาศจะเป็น 0.01%

หาก Swift-Tuttle ชนโลกจริงๆ แรงปะทะจะทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงเท่ากับการระเบิดพร้อมๆ กันของการระเบิดปรมาณู 1 ล้านลูก ฝุ่นละออง และควันจะฟุ้งกระจายบดบังแสงอาทิตย์จากเบื้องบนนานเป็นปี พืชและสัตว์จะพากันล้มตาย และสูญพันธุ์ไปถึงไม่หมดก็เกือบหมด

Marsden ได้เรียกร้อง ให้นักดาราศาสตร์ทั่วโลก จับตาดูดาวหางดวงนี้แบบตาอย่ากระพริบ เพื่อตรวจดูตำแหน่งและทิศทางการโคจรของมัน หากคำพยากรณ์ของเขาถูก เราก็จะต้องยิงจรวดนำปรมาณู ไปถล่มทลายดาวหางดวงนี้ ก่อนที่มันจะถล่มเรา

แต่ผมว่าเขา จะคำนวณผิดเสียมากกว่า เพราะการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้าตั้ง 134 ปี ให้ถูก โดยที่ข้อมูล และรายละเอียดต่างๆ ของปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ไว้วางใจไม่ได้นั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ถูกต้องยาก ไม่เชื่อ คุณก็คอยดู

โดย ด.ร.สุทัศน์ ยกล้าน
ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

คำทำนายของนอสตราดามุสนอสตราดามุส

คำทำนายของนอสตราดามุสนอสตราดามุส



นอสตราดามุส เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว เกิดวันที่ 14 ธ.ค. ค.ศ.1503 ที่เมืองแซงต์ เรมี ในครอบครัวที่มีอันจะกิน พ่อชื่อชาคส์ แม่ชื่อเรอเน่

นอสตราดามุสเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ เพราะสนิทกับคุณปู่และคุณตาที่เป็นถึงแพทย์หลวง เขาจึงมีความรอบรู้เก่งกล้าในหลักวิชาแขนงต่างๆ มีความรอบรู้มากกว่าเด็กร่วมยุคในวัยเดียวกัน รอบรู้ทั้งวรรณคดีคลาสสิค ประวัติศาสตร์ การแพทย์ สมุนไพร ฯลฯ

ปัจจุบันนี้ผู้คนจะรู้จักนอสตราดามุสในฐานะนักพยากรณ์เอกของโลก แต่ความจริงแล้วเขาเป็นถึงแพทย์ปริญญา เภสัชกร นักสมุนไพร นักโภชนาการ นักคิดนักปฏิรูป นักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ชีวิตของเขาฝ่ามรสุมมาอย่างโชกโชน

นอสตราดามุสจบแพทย์ มหาวิทยาลัยมองต์เปลิเยต์ ปี 1525 เขาเป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับวิชาการแพทย์ที่เก่าคร่ำครึ เช่น การไม่ยอมทำความสะอาดแผลของผู้ป่วย เพราะกลัวว่าเป็นการล้างบาป ซึ่งความคิดดังกล่าวทำให้ยุโรปยุคศตวรรษที่ 16 ตกอยู่ในช่วงการระบาดของเชื้อโรคมากมาย

ในปี ค.ศ.1537 โรคระบาดแพร่ระบาดมาถึงเมืองอายีน คนตายกันเป็นเบือ และขณะที่นอสตราดามุสเดินทางไปรักษาคนป่วยอย่างเหน็ดเหนื่อย เขากลับมาบ้านและพบว่าภรรยาและลูกของเขาติดเชื้อกาฬโรคเสียแล้ว เขาพยายามทุกวิถีทางแต่ก็สายเกินแก้

หลังจากที่ลูกเมียตาย นอสตราดามุสก็เข้าสู่ช่วงตกต่ำที่สุด นอกจากจะเสียใจที่สูญเสียคนรักแล้ว ชาวเมืองอายีนก็หมดศรัทธา ไม่ยอมเชื่อถือในวิชาแพทย์และการรักษาของเขาอีกต่อไป และคราวนี้นอสตราดามุสก็ทำอะไรไม่ถูกใจคนไปเสียหมด โดยระหว่างที่เขาเดินผ่านไปเห็นคนงานกำลังหล่อรูปพระแม่มารีอยู่นั้น เขาก็แหย่เล่นว่า “กำลังหล่อรูปปีศาจใช่ไหม” เพียงเท่านั้นนอสตราดามุสก็ถูกตราหน้าว่าไม่เคารพพระแม่มารี ทั้งยังถูกเจ้าหน้าที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนด้วย

ในที่สุดนอสตราดามุสจึงตัดสินใจหนีออกจากเมืองอายีน หลบหนีพวกกรรมการสอบสวน เร่ร่อนไปทั่วยุโรปตอนใต้และตะวันตกอยู่ 6 ปี ซึ่งในช่วงเวลานี้เขาเสาะแสวงหาสัจธรรมของชีวิต และในที่สุดเขาก็ใช้วิธีอ่านเหตุการณ์ล่วงหน้า ให้กลายเป็นมิติภาพในจิตทัศน์ของเขาได้ เขาเสียชีวิตวันที่ 1 ก.ค. 1566 ด้วยโรคเกาต์

คำพยากรณ์ของนอสตราดามุสที่ถูกต้องและเลื่องชื่อมากคือเขาเห็นบาทหลวงฟรานซิส ที่พบกันโดยบังเอิญ และพยากรณ์ว่าบาทหลวงผู้นี้จะเป็นองค์สันตปาปาในอนาคต ซึ่งตอนนั้นคนอื่นหัวเราะกันเอิ๊กอ๊าก เพราะบาทหลวงผู้นี้ไม่โดดเด่นเลย พื้นเพยังเป็นคนต่ำต้อยอีกด้วย นอกจากนี้คำพยากรณ์ว่าพระเจ้าอังรีที่ 2 จะสวรรคตด้วยการประมือกับคนหนุ่ม ก็เป็นจริง ภายหลังพระเจ้าอังรีที่ 2 ภายระหว่างการประลองยุทธ์กับนักรบหนุ่มในกองทหารสกอตรักษาพระองค์ ส่วนเหตุการณ์ยุคหลังๆที่ตรงได้แก่ การลอบสังหารประธานาธิบดีเคเนดี้ และโรเบิร์ต เคเนดี้ การระเบิดของยานอวกาศชาเลนเจอร์ สงครามอ่าวเปอร์เซีย ฯลฯ ซึ่งเขาทำนายไว้ถึงปี 2000


ยักษ์นอกศาสนาจะฆ่ากัน

สงคราม
ชั่วโมงนี้ทั่วโลกต่างก็จับจ้องอยู่กับเรื่องสงครามระหว่างมะริกัน-อัฟกัน มิใช่เพียงเพราะนี่เป็นสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช กับประเทศอัฟกานิสถาน ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ตาลีบัน ที่ปกป้องและให้ผืนแผ่นดินพักพิงกับ โอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ในสหรัฐ

และมิใช่เพียงเพราะนี่เป็น "สงครามแรกของศตวรรษที่ 21" แต่เพราะมีการระบุว่าศึกล้างแค้นของสหรัฐในครั้งนี้ ดีไม่ดีอาจเป็นชนวนนำไปสู่การเกิด "สงครามโลกครั้งที่ 3" หรือปะเหมาะเคราะห์ร้ายอาจถึงขั้นบานปลายเป็น "สงครามล้างโลก"

อะไรทำให้เกิดความหวาดวิตกเช่นนี้ ??

ประการแรก... สงครามครั้งนี้สหรัฐประกาศกร้าวว่าจะกระทำอย่างไม่ไว้หน้าใคร เว้นแต่จะได้ตัวบิน ลาเดน มาลงโทษแต่โดยดี ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก สหรัฐจึงต้องทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ เพื่อกู้หน้า-กู้ศักดิ์ศรี เพื่อชำระแค้นการก่อการร้ายที่ส่งผลให้มีชาวอเมริกันและชาติอื่นเสียชีวิตและสูญหายหลายพันคน

จุดนี้เองที่ก่อให้ความกังวลว่าขอบเขตของสงครามอาจจะมิได้จำกัดอยู่เพียงอัฟกานิสถาน แต่อาจบานปลายลุกลามไปถึงประเทศอาหรับอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการนำเรื่อง "ศาสนา" เข้ามามัดโยง จนกลายเป็น "สงครามศาสนา" ซึ่งถ้าถึงวันนั้นผลกระทบการขัดแย้งจะผุดขึ้นทุกหัวระแหงทั่วโลก !! ยิ่งถ้ามีประเทศมหาอำนาจหรือมหาอำนาจเก่าซีกอื่น เช่น จีน, รัสเซีย มองว่าสิ่งที่สหรัฐกำลังทำอาจกระทบเสถียรภาพของประเทศตน แล้วโดดลงมาขวาง หรือลงมาช่วยฝ่ายตรงข้ามสหรัฐ นี่ย่อมมิใช่เรื่องเล็ก ๆ

สงครามใหญ่หยุดโลกย่อมมีสิทธิบังเกิด !!

อีกประการหนึ่ง... ได้มีความกังวลกันว่ากลุ่มก่อการร้ายที่กล้าทำขนาดนี้ บางทีอาจเพราะมีไพ่เด็ดอยู่ในมือก็เป็นได้ ซึ่งหากถูกสหรัฐกดดันรุงแรงมากเข้าที่สุดก็อาจหงายไพ่มาสู้ ไพ่เด็ดที่ว่านี้ก็คือ "อาวุธนิวเคลียร์-อาวุธเคมี-อาวุธเชื้อโรค" อาวุธที่มีอานุภาพล้างโลกได้ง่าย ๆ และอีกสิ่งซึ่งมาเสริมความหวาดกลัว "สงครามโลกครั้งที่ 3 - สงครามล้างโลก" ก็คือ...คำทำนายโบราณในทางศาสนาต่าง ๆ และคำทำนายของ "นอสตราดามุส" นักพยากรณ์ชื่อก้องโลกชาวฝรั่งเศส
จากเอกสารที่กล่าวอ้างถึง "พุทธทำนาย" มีการระบุถึงคำพยากรณ์อนาคตมนุษย์โลกไว้ตอนหนึ่งในทำนองที่ว่า...หลังกึ่งพุทธกาลหรือหลัง พ.ศ. 2500 แล้ว สงครามที่ร้ายแรงยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะบังเกิดขึ้น "ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างจะล้มตายกันฝ่ายละ มาก ๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน"

ใน "พระคัมภีร์ไบเบิล" ของศาสนาคริสต์ ได้มีการทำนายการแตกดับของโลกไว้หลายบท เช่น... "วันที่พระเจ้ามาถึง วันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป..."

ขณะที่ "นอสตราดามุส" ก็เขียนโคลงทำนายเกี่ยวกับการเกิดกลียุคของโลก-วันโลกาวินาศไว้ในบันทึกชื่อ "เดอะ เซ็นจูรี่" เมื่อกว่า 400 ปีก่อนไว้หลายบท อาทิ... "ดวงอาทิตย์ขึ้นจะเห็นดวงไฟใหญ่ แสงวูบวาบกับเสียงกึกก้องจะแผ่ไปทางเหนือ เสียงร้องครวญครางโหยหวนของความตายได้ยินไปทั่วทั้งโลกด้วยสรรพาวุธ ไฟ ความอดอยาก กับความตายจะคอยรับพวกเขา" (ซ.2 ค.91) บรรยากาศท้องฟ้าและแผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนายังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ" (ซ.9 ค.83)

นอกจากนี้ นอสตราดามุสยังได้เขียนจดหมายถึงซีซาร์บุตรชาย มีข้อความตอนหนึ่งว่า... "ก่อนที่ดวงจันทร์จะโคจรจนครบรอบใหญ่ (ค.ศ. 1889-2250) ดวงอาทิตย์และดาวเสาร์จะมาถึงตามลักษณะของดวงดาว ยุคของดาวเสาร์จะเกิดขึ้นอีกเป็นหนที่ 2 คำนวณจากเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว โลกจะพาตัวเองใกล้เข้าสู่วัฏจักรแห่งการแตกดับขั้นสุดท้าย"

ล้วนเป็นคำทำนายเรื่องหายนะของโลก !!

อย่างไรก็ตาม พระราชกวี รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย (มมร.) กล่าวเตือนสติว่า... คนมักไปฟังการทำนายของนอสตราดามุส มากเกินไป มีการตีความกันไปต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะที่มีการตีความเมื่อ 2-3 ปีก่อนว่าจะเกิดน้ำท่วมโลก ซึ่งในอดีตกาลพระพุทธเจ้าไม่เคยทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ท่านมีแต่ยกเหตุผลมาเป็นตัวอย่าง เช่น เรื่องประมาท หรือการสร้างเวร เวรจะระงับได้ด้วยการไม่จองเวร
การจองเวรเป็นการจุดไฟให้ลุก..เกิดการล้างผลาญ

"สหรัฐมีไฟที่จุดอยู่ในใจ จึงเกิดความเคียดแค้น หากยังไม่เลิกจองเวร หรือทำลายล้าง ความหายนะก็จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย เพียงเพราะต้องการทำลายคนแค่ 1-2 คนเท่านั้น"

ด้าน พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ฝ่ายการต่างประเทศ กล่าวว่า... ทางศาสนาพุทธไม่เคยมีใครทำนายอย่างนอสตราดามุส ส่วนของเราจะพูดในหลักการ หมายความว่าโลกเราเป็นไปตามกฎอนิจจัง ไม่ว่าคนหรือสิ่งของอะไรที่ใหญ่โตมโหฬาร มีอำนาจบารมีมากมายมหาศาลแค่ไหน ก็ต้องถูกทำลายล้าง คือทุกอย่างมันไม่เที่ยง ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมอ

"ถ้าโลกจะพินาศย่อยยับดับสูญไป เกิดสงครามล้างโลก สาเหตุก็มาจากกิเลสในใจมนุษย์ ที่มีทั้งความโลภ โมหะ และความหลง ความอยากได้ เหล่านี้เป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดสงคราม โดยมนุษย์เป็นผู้ทำลายในแง่ของการปฏิบัติ เพราะสงครามที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งก็เนื่องมาจากการแย่งชิงทรัพยากร ความโกรธเกลียด พยาบาทอาฆาตแค้น และแบ่งแยกสีผิว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาก็เช่นเดียวกัน"

คำทำนายใดที่ว่าน่ากลัว..ที่สุดแล้วก็คงไม่น่ากลัวเท่าจิตใจอันเคียดแค้นของมนุษย์เอง !!

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ อัจฉริยะผู้คิดค้นระเบิดปรมาณู เคยกล่าวไว้ว่า... สงครามโลกครั้งที่ 3 มนุษยชาติจะรบราฆ่ากันยังไง...ไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือ "สงครามโลกครั้งที่ 4" มนุษย์จะรบกันด้วย "ไม้"

ที่มา
http://www.horasadthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=364604

คำทำนายอวสานโลก

คำทำนายอวสานโลก


ฮือฮาไม่ใช่เล่น เมื่อมีการเปิดปูมจดหมายของ เซอร์ ไอแซค นิวตัน บิดาแห่งฟิสิกส์และดาราศาสตร์ยุคใหม่ ที่ทำนายว่าโลกจะถึงกาลอวสานในปี 2060 หรืออีก 53 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นเวลาที่การวางรากฐานของอาณาจักรโรมันในยุโรปตะวันตก เวียนมาครบ 1,260 ปีไม่มีใครบอกได้ว่าคำทำนายดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่ หรือถ้าเป็นจริง คนที่มองโลกในแง่ดีสุดขีด โดยเฉพาะในรายที่ย่างเข้าเลข 2 แก่ๆ แล้ว คงไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ถึงป่านนั้น แหม...มันตั้งอีก 50 กว่าปีเชียวนะการทำนายทายทักถึงวันอวสานของโลกมีมากมายหลายทฤษฎี เชื่อได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ขึ้นอยู่กับว่าใช้หลักการหรือศาสตร์ใดมาสนับสนุนคำทำนายทฤษฎีที่โด่งดังมากสุดคงต้องยกให้กับคำทำนาย ที่ว่า โลกบูดเบี้ยวใบนี้จะแตกดับในวันที่ 21 ธ.ค. 2012

หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า...ด้วยชุดเลขสวย 212012ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามายัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดิบพอดีการเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า “อาทิตย์ดวงที่ 5” ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาทิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึงสงครามอภิมหาโลกาวินาศจนไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกครั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้องสถานการณ์น่าระทึกในวันอวสานโลกข้างต้นตามจินตนาการของ อง โคลด โคเวน นักเขียนหนังสือแนวอภิปรัชญาชาวฝรั่งเศส บรรยายว่า ให้นึกถึงภาพตัวเองอยู่ในสถานีรถไฟอันแออัดตอนเช้า แล้วทันใดนั้นก็เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่ทั้งธรรมชาติแปรปรวนและระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรเครื่องยนต์ต่างๆ ขัดข้อง จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟในชานชาลาพากันวิ่งออกไปคนละทิศ คนละทาง คล้ายกับซี่วงล้อเกวียนในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นยังกดดันให้คุณจำเป็นต้องเลือกขึ้นรถไฟสักขบวน อย่างน้อยก็ยังรอดจากการโดนรถไฟทับตาย แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่า รถไฟขบวนที่หลับหูหลับตาขึ้นไปนั้นจะพาคุณไปไหน?น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว

ยังมีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะเกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในช่วง ฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและเกิดการปะทะกับพลังงานทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)

สมมติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลาย แหล่ข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่างๆ นับจากศูนย์นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเวณที่เคยเกิดสึนามิมาก่อนและเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโลกกำลังขยับและเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัวอีกหนึ่งทฤษฎียิ่งน่าสะพรึงกลัวเข้าไปอีก

เมื่อมีการย่นระยะเวลาอวสานของโลกให้ใกล้เข้ามามากกว่านั้น โดยกลุ่มเชิร์ช ออฟ เดอะ ซับจีเนียส ก่อตั้งโดย เจ.อาร์.บ็อบ ด็อบบ์ส ทำนายว่า จุดจบของโลกจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 ก.ค. หรืออีกไม่กี่วันข้างหน้าเชิร์ช ออฟ เดอะ ซับจีเนียส เป็นลัทธิแนว โพสต์โมเดิร์น (เชื่อเรื่อง Scientology แบบเดียวกับ ทอม ครูซ) และเป็นกลุ่มที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มที่เสียดสีความเชื่อทางศาสนา ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มไซอันโตโลจี, ยูนิฟิเคชัน เคิร์ช หรือกลุ่มที่เกลียดการแบ่งแยกเชื้อชาติ นับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร ด็อบบ์ส ได้ประกาศว่า กองทัพจานบินนอกโลกจะยกขบวนมาถล่มโลกช่วงต้นเดือน ก.ค. โดยจะทำลายล้างทุกคนที่ต่อต้านลัทธิเชิร์ช ออฟ เดอะ ซับจีเนียส ขณะที่นักบวชหรือสาวกของกลุ่มจะได้ร้บการช่วยเหลือให้พ้นจากภัยพิบัติดังกล่าวในเว็บไซต์ของ เชิร์ช ออฟ เดอะ ซับจีเนียส ได้มีการเชิญชวนให้บรรดาสาวกมาร่วมกันเตรียมพร้อมกับวันอวสานโลก โดยในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของวันสิ้นโลกนั้น ทางกลุ่มจะจัดคอนเสิร์ตร็อกและประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของกลุ่ม ที่นครนิวยอร์ก ของสหรัฐอย่างไรก็ดี ด้านนักวิทยาศาสตร์บางรายกลับมองว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกจะเป็นภัย คุกคามที่ย้อนกลับมาทำลายล้างมนุษยชาติเองในท้ายที่สุด โดยในบทความเรื่อง “วันสิ้นโลก” ของไมเคิล แฮนลอน ในเว็บไซต์เดลี เมล์ ระบุว่า วันสิ้นโลกที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้มาจากการระเบิดครั้งใหญ่ของโลกตามคำทำนายใดๆ ทั้งสิ้น ทว่า กลับเป็นภัยเงียบที่ก่อตัวมานาน ที่มนุษย์กลับไม่เคยใส่ใจหรือรู้สึกต่างหากย้อนเวลากลับไปเมื่อปี 1990 ที่คอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและเป็นจุดกำเนิดของการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ หลังจากนั้น โลกเราได้รู้จักอินเทอร์เน็ตและสามารถคิดค้นเครื่องจักรและหุ่นยนต์ ที่มีศักยภาพทัดเทียมหรือเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกที และช่วงศตวรรษที่ 20 ได้เกิดปรากฏการณ์เครื่องจักรที่เคยถูกสร้างเพื่อเป็นทาสรับใช้ ผันตัวเองมาเป็นผู้ควบคุมมนุษย์โลก และจุดจบของโลกจะเริ่มขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 มี.ค. 2065 ที่บรรดาหุ่นยนต์อันชาญฉลาดได้หันมาเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นบ้านใหม่สำหรับพวกมัน และเริ่มเข้ามาควบคุมมนุษย์โลก จนในช่วงปลายศตวรรษเดียวกัน มนุษย์นับพันล้านคนต้องขาดแคลนอาหาร และในท้ายที่สุดในปี 2100 ต้องผันตัวเองกลับไปใช้ชีวิตในถ้ำอย่างในอดีต

ขณะที่เมืองต่างๆ ก็ตกเป็นของเหล่าเครื่องจักรที่มนุษย์สร้างขึ้นนั่นเองอย่างไรก็ดี ไม่ว่าคำทำนายทุกรูปแบบจะน่าสะพรึงกลัวสักเท่าใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่า เวลานี้โลกของเราอาการหนักจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อนที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือแม้แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเกินไปจน ทำให้หลายชาติอยากแสดงแสนยานุภาพของตัวเองเต็มแก่หากโลกไม่แตกอย่างคำทำนาย ก็คงมีสักวันที่ต้องล่มสลายตามอายุขัย เพราะถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเคยทำนายเลยว่า จริงๆ แล้วโลกมีอายุยืนยาว กี่ปีกันแน่?

แผนที่โลกใหม่ - น้ำท่วมโลกจริงหรือ?
จากข่าวที่ออกมาทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ในเรื่องของแผนที่โลกใหม่(ภาพจากหนังสือพิมพ์ ) ที่แสดงให้เห็นภาพน้ำท่วมโลกจนบางส่วนหายไปจากแผนที่ จากที่รายการ "2001 ตามไปดู" ได้ติดตามเอาเรื่องราวมาออกทางโทรทัศน์ ทำให้ทำได้ทดลองค้นหาที่มาโดยการใช้ Yahoo ค้นหาตามวิธีของทางรายการ แล้วก็ได้พบกับ Web Site ต้นฉบับ จึงได้นำต้นฉบับมาให้ดูกันพร้อมข้อมูลพอสมควร อย่างไรตามขอให้ใช้วิจารณญาณกันด้วยนะครับอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ(ให้ถือหลักกลามสูตร 10 คือไม่เชื่ออะไรง่ายๆด้วยเหตุ 10 ประการ) ยิ่งในช่วงนี้ใกล้ปี 2000 เข้ามาทุกทีก็ยิ่งมีข่าวลือมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเชื่อทุกเรื่องกว่าจะถึงปี 2000 คงหัวใจวายตายเสียก่อน ตาม Web ต้นฉบับเน้นว่าเหตุการณ์น้ำท่วมโลกจะเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและแผ่นโลกเคลื่อนมากกว่า เกิดจากน้ำแข็งละลายซึ่งทุกวันนี้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1 องศาใน 20 ปี ทำให้น้ำแข็งละลายและน้ำทะเลสูงขึ้นปีละ1 เซนติเมตร ซึ่งหากเกิดน้ำท่วมโลกจากน้ำแข็งละลายจริงคนค่อยอพยพถอยร่นไปได้ทันแน่ๆ

ผู้ที่ทำแผนที่ขึ้นมาคือนาย Gordon-Michael Scallion มี Web Site ชื่อว่า earthchanges.com นายคนนี้แกเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก(ตามที่ Web site ของแกกล่าวอ้าง) จบการศึกษาท่างด้านอิเลคทรอนิคส์(ไม่ได้บอกว่าระดับไหน) ในปี 1979 เคยเกือบตายมาแล้วแต่กลับฝื้นขึ้นมาได้ในที่ หลังจากนั้นก็พบว่าได้รับพรสวรรค์ในเรื่องของการหยั่งรู้อนาคต โดยบางสิ่งที่เขาทำนายถูกต้องก็ได้แก่ เหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหวใน ลอสแองเจอริส แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2535, แผ่นดินไหวใน แลนเดอร์ส (Landers) และ บิกเบียร์ (Big bear) แคลิฟอร์เนีย เมื่อ 17 มกราคม 2537 และแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2538 เป็นต้น

แผนที่นี้ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) นาย Gordon ได้มองเห็นภาพอนาคตของโลกเป็นครั้งแรก โดยก็มองเห็นตัวเอง อยู่สูงขึ้นไปในอวกาศแล้วมองกลับลงมาบนโลก หลังจากนั้นอีกหลายปีก็เห็นภาพเดิมอีกครั้ง ทำให้เข้าสามารถสร้าง แผนที่โลกในอนาคตขึ้นมาและพิมพ์ในปี พ.ศ.2525 โดยนาย Grodon เชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012(พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) โดยเหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุสำคัญคือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอันเนื่องมาจาก แผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อน โดยสภาพการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในแต่ละพื้นที่ดังนี้

เอเชีย -- เนื่องจากมีวงแหวนไฟ(Ring of Fire)ผ่าน Asia (แนวเขตรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก(Plate boundary) โดยส่วนแนวเขตนื้เรียกว่า riff ) ทำให้เป็นเขตเกิดแผ่นดินไหวสูง ยังผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเขตนี้ โดยจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ ฟิลิปปิน ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่ง(เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกา กับรัสเชีย) รวมทั้งหมู่เกาะคูรินและเกาะแซคาลิน(เป็นของรัสเชีย อยู่ใกล้กับ ฮอกไกโด ญี่ปุ่น) เนื่องมาจากแผ่นแปซิฟิกเคลื่อน(Pacific Plate shift)ไป 9 องศา เกาะญี่ปุ่นจะจมเหลือไวเพียงแค่ 2-3 เกาะเล็กๆเท่านั้น ไต้หวัน และเกาหลีส่วนใหญ่จะหายไปในทะเล และด้วยเหตุที่แผ่นโลกเคลื่อนตัวนี้ แนวฝั่งของจีนจะเลือนร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ อินโดนีเซียจะถูกทำลาย ถึงแม้ว่าจะมีเกาะใหม่เกิดขึ้นมาด้วยก็ตาม ฟิลิปปินส์จะถูกกลืนหายลงไปในทะเล เอเซียจะได้รับความสูญเสียอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ และจะมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นด้วย สิ่งที่ความพิจารณาจากคำทำนายนี้ก็คือ เอเชียอยู่บน 3 แผ่นทวีปคือ 1.แผ่นฟิลิปปิน 2.แผ่นอินโด-ออสเตรเลียน 3.แผ่นยูเรเซียน(ไทย - จีน อยู่บนแผ่นนี้) บริเวณที่ไทยและจีนอยู่เป็นเขตแผ่นดินยกตัวดังนั้นหากเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นจริงน่าจะเป็นไปในทางที่ทำให้แผ่นดินยกตัวสูงขึ้นมากกว่า โดยที่แผ่นแปซิฟิกที่ว่าเคลื่อนไป 9 องศานั้น ทิศทางการเคลื่อนที่ตามปกติก็จะเคลื่อนที่ในทิศทาง มุดตัวลงใต้แผ่นทวีป ยูเรเซียน บริเวณ ประเทศญี่ปุ่นและมุดตัวลงใต้แผ่นฟิลิปปิน และ แผ่นอินโด-ออสเตรเลียนมุดตัวใต้แผ่นยูเรเซียนบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งการมุดตัวดังกล่าวจะทำให้ทวีปยกตัวขึ้น ข้อพิสูจน์นี้ก็ได้แก่ที่ราบสูงทิเบต เทือกเขาหิมาลัย และ อีสานของไทย ซึ่งถูกยกตัวสูงขึ้นจากเมื่อ 60-20 ล้านปีก่อน สำหรับในส่วนของประเทศอื่นๆขออนุญาตไม่วิจารณ์นะครับ แต่จะเอามาให้ดูและคิดกันเอาเอง

ออสเตรเลีย -- จะสูญเสียแผ่นดินไปประมาณ 25 เปอร์เซ็น จากน้ำท่วนชายฝั่นทั้งหมด ยกเว้นจะเกิดแผ่นดินบริเวณช่องแคบบาสส์เชื่อมเข้ากับเกาะทาสเมเนีย และเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นนอกชายฝั่ง

นิวซีแลนด์ -- นิวซีแลนด์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น บางส่วนจะเชื่อมเข้ากับแผ่นดินเก่าออสเตรเลีย ทั้งสองแผ่นดินจะเชื่อมต่อเป็นแผ่นดินเดียวกันด้วยคอคอด ทั้งนี้เกิดจากการยกตัวขึ้นของแผ่นดินและการระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่งจะทำให้นิวซีแลนด์เดิมกลายเป็นตินแดนห่างไกลจากทะเล

แอฟริกา -- จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แม่น้ำไนส์จะกว้างขวางกว่าเก่ามาก ต้วยทิศทางของแม่น้ำไนส์เส้นทางใหม่จะวิ่งจากทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยมตรงปากแม่น้ำไนส์ผ่านพื้นที่ประเทศซูดาน เส้นทางสายน้ำใหม่ของแอฟริกาจะเหมือนตัว "Y" วางอยู่บนทวีป โดยมีฐานตั้งในแนวตั้งอยู่บนเมืองเคปทาวน์(ต้นกำเนิดแม่น้ำอยู่ที่เคปทาวน์) ทะเลแดงจะขยายกว้างออกทำให้ ไคโรจมหายไปในทะเล เกาะมาดากัสการ์เกือบทั้งหมดจะจมลงในทะเล เกิดแผ่นดินใหม่ในทะเลอาหรับ บริเวณตอนใต้ของโอมาน และจะมีแผ่นดินขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณทางเหนือและตะวันตกของเคปทาวน์ ทะเลสาบวิคทอเรียจะรวมเข้ากับทะเลสาบนยาซาใหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย

อเมริกาใต้ -- เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกเกิดขึ้นอย่างมาก รวมถึงแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ผลกระทบครอบคุมไปทั่ว เวนิซูเอลา โคลัมเบีย และบราซิล จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ลุ่มน้ำอะเมซอนจะกลายเป็นทะเลใน(ทะเลปิดอยู่ภายในแผ่นดินเหมือนทะเลสาปสงขลา) เปรูและ โบลิเวีย จะถูกน้ำท่วม ซานวาดอร์ เซาเปาโล ริโอดอร์จาเนโร และบางส่วนของ อุรุกรัย จะจมหายไปในทะเล เหมือนกับ หมู่เกาะฟอล์คแลนด์ และเกิดทะเลปิดอีกแห่งที่ตอนกลางของประเทศเาร์เจจนตินา เกิดแผ่นดินขนาดใหญ่ขึ้นทางตะวันตกของทวีปแถวชิลีรวมทั้งทะเลปิดอีกแห่งด้วย

แคนาดา -- อ่าวฮัทสันจะขยายตัวออกเป็นทะเลปิดภายในแผ่นดิน บางส่วนของตะวันตกเฉียงเหนือจะถอยร่นเข้ามาในแผ่นดิน 200 ไมล์ พื้นที่ในควิเบก ออนตาริโอ มานิโตบา ซาาสแกนเซวัน แอลเบอร์ตา จะกลายเป็นศูนย์กลางผู้ที่รอดพ้นหายนะระหว่งการเปลี่ยนแปลงในตอนต้น ผู้อพยพจะมาจาก บริติสโคลัมเบีย และ อะลาสกา

สหรัฐอเมริกา -- การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลกนี้จะเริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาก่อน โดยแผ่นทวีปอเมริกาเหนือเกิดการโก่งตัว สร้างหมู่เกาะแคลิฟอร์เนียขึ้น 150 เกาะ ในที่สุด จากขบวนการเพลทเทคโทนิก(tectonic plate-ขบวนการที่ทำให้แผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งมุดตัวลงไปใต้อีกแผ่นหนึ่ง) ซึ่งทำให้เกิกแนวโก่งตัวและรอยแยกซึ่งก่อให้เกิดอุทกภัยทำให้ ฝั่งทะเลด้านตะวันตกหดลงไปทางตะวันออกสู่รัฐเนเบรสกา ไวโอมิงและ โคโลราโด ทะเลสาบ เกรทเลค(ประกอบด้วยทะเลสาบสุพิเรียม,ฮุรอน,มิชิแกน,อิรีและออนแตริโอ) และแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์จะเชื่อมต่อเข้ากับแม่น้ำมิสซิสซิป ไหลลงสู่อ่าวแมกซิโก

แมกซิโก -- แนวชายฝั่งของแมกซิโกจะถูกน้ำท่วมเข้ามาถึงในแผ่นดิน คาปสมุทรแคลิฟอร์เนีย จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ ส่วนใหญ่ของยูคาทาน พีนิซูลาจะหายไปในทะเล ภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวจะเกิดต่อเนื่องยาวนานถึง 25 ศตวรรษ

อเมริกากลางและคาริเบียน -- อเมริกากลางจะเกิดอุทกภัยและมีจำนวนเกาะลดน้อยลง ที่สูงกว่า 500 เมตรเท่านั้นที่ปลอดภัย จะมีเส้นทางน้ำใหม่เกิดขึ้นจากอ่าวฮอนดูรัสไปออกที่ เอลซัลวาดอร์ ส่วนคลองปานามาจะกลายเป็นคลองตัน

ยุโรป -- ตอนเหนือของยุโรปส่วนใหญ่จะจมลงสู่ทะเลซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก(ด้วย tectonic plate) นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และเดนมาร์ค จะถูกน้ำท่วม ทิ้งไว้เพียง เกาะเล็กๆนับร้อยเกาะ ส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักร จากสกอต์แลนด์ถึงช่องแคบจมหายไปในทะเล เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็กๆขนาดประมาณหมู่เกาะเซตแลนด์(อยู่ทางตอนเหนือของเกาะอังกฤษ) ลอนดอนและเบอร์มิงแฮมจะเหลือกลายเป็นเกาะ อิรีแลนด์จะจมลงทะเลยเว้นที่สูงเท่านั้น
รัสเซีย จะแยกออกจากยุโรป โดยเกิดเป็นทะเลขนาดใหญ่แห่งใหม่โดยรวมเอาทะเลแคสเบียน ทะเลดำ ทะเลาคารา ทะเลบอสติก เข้าด้วยกัน ทะเลใหม่ซึ่งแบ่งถูกแบ่งโดยเทือกเข้าอูราล จะยืดยาวไปจดแม่น้ำเยนิเซในไซบีเรีย ทำให้มีอุณหภูมิอบอุ่นขึ้นและเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ให้กับยุโรป ทะเลดำจะรวมกับทะเลตอนเหนือทิ่งบัลแกเรียและโรมาเนียไว้ใต้น้ำ ดินแดนตั้งแต่โปแลนด์จนถึงตุรกีจะได้ความไม่สงบครั้งยิ่งใหญ่ สงครามศาสนาจะอุบัติขึ้น และจบลงด้วยความบริสุทธิ์ของแผ่นดินโดยไฟและน้ำ ตุรกีด้านตะวันตกจะจมอยู่ในน้ำเกิดแนวชายฝั่งใหม่จาก อีสตันบูลถึงไซปรัส ส่วนใหญ่ของยุโรปกลางจะถูกน้ำท่วม แผ่นดินส่วนใหญ่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลบอลติกจะสูญหาย ส่วนใหญ่ของสมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สองจมลงสู่ใต้ทะเล ก่อให้เกิดเกาะเล็กๆขึ้น

ฝรั่งเศสส่วนใหญ่จมน้ำ เหลือไว้แค่เกาะในบริเวณกรุงปารีส ทางน้ำใหม่จะแยกสวิสเซอร์แลนด์ออกจากฝรั่งเศส อิตาลีจะจมน้ำ เวนิส,เนเปิล,โรม และ เจนัวจะถูกกลืนลงทะเล แต่นครรัฐวาติกันจะปลอดภัยเนื่องจากย้ายไปอยู่ที่สูงกว่า แผ่นดินที่สูงๆจะคงเหลือเป็นเกาะ แผ่นดินใหม่จะเกิดขึ้นทอดยาวจากเกาะซิซิลีจนถึงเกาะซาร์ดิเนีย

ที่มา
http://mrkflyman.blogspot.com/2007/08/blog-post.html

จุดจบของโลก ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา

วัฏจักร และ จุดจบของโลก ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา ขอตั้งสมมติฐานว่า “จุดจบของโลกอยู่ที่ ๖๐๐๐ ล้านปี และ จุดจบของโลก กับ จุดจบของสัตว์ที่มีวิญญาณครองต่างกัน” โดยมีเหตุผลและอรรถาธิบาย ยกหลักฐานจากพระคัมภีร์ มาประกอบดังนี้

- ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์บอกว่า โลกใบนี้เกิดมาแล้ว ประมาณ ๔๕๐๐ ล้านปี

- พระพุทธเจ้าตรัส ว่า ในภัทรกัปนี้ โลกใบนี้เคยมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแล้ว ๔ พระองค์ คือ ๑. พระกกุสันธะ ๒. พระโกนาคมนะ ๓. พระกัสสปะ ๔. พระโคดม(พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน) นั่นก็เท่ากับว่า ประมาณ ๑,๑๕๐ ล้านปีมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ พระองค์ หลัง จากนั้น โลกจะล้าง เพราะนํ้าท่วม,ไฟใหม้ (ภูเขาไฟระเบิด)เป็นยุค ๆไป (แต่โลกยังไม่แตก) ขณะที่โลกถูกไฟไหม้ และนํ้าท่วมนั้น มนุษย์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม(ไปอยู่กับพระเจ้า) เมื่อภูมิ อากาศและผืนดินอุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีก พระพุทธเจ้าตรัสบอกอีกว่า ในกัปของโลกนี้ จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเพียง 5 พระองค์ แล้วโลกก็จะแตกพินาศไป เพราะไฟ ( ดวงอาทิตย์เรียงกัน ๗ ดวง)

นั่นก็แสดงว่า อีกประมาณ ๑๕๐๐ ล้านปีข้างหน้าโลกจะแตกพินาศ หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ คือ พระศรีอริยเมตตรัย อุบัติแล้ว ๑๐๐๐ ล้านปี

แต่สรรพสัตว์มิได้มีจุดจบอยู่แค่นั้น หลังจากโลกพินาศแล้ว สัตว์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม เมื่อโลกอุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดเป็นสรรพสัตว์ในโลกอีก ดูลายระเอียดได้ใน อัคคัญญสูตรพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐


โลกล้าง กับโลกแตกแตกต่างกัน

อีกประมาณ ๕๐๐ ล้านปีโลกจะล้าง เพราะนํ้าท่วม และไฟไหม้จนมนุษย์ตายหมดโลก ....แต่โลกยังไม่แตก หลังจากนั้น..ภูมิอากาศของโลกก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ..มนุษย์ที่ตาย ไปเกิดในอาภัสสพรหม..(ไปอยู่กับพระเจ้า..) ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีกครั้ง..แล้วจะเข้าสู่ยุคอยู่พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ คือ พระศรีอริยเมตตรัย.... หลังจากยุคพระศรีอริยเมตตรัย..ประมาณ ๑๐๐๐ ปี โลกจึงจะแตก...

เมื่อโลกแตก....สัตว์มีวิญญาณทั้งหลายก็จะเกิดโลกดวงใหม่ต่อไปอีก....สรรพสัตว์ก็จะกลับมาเกิดในโลกดวงใหม่ต่อไปอีก... เป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

ในเมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนี้ การได้ไปอยู่บนสรรค์กับพระเจ้า..ก็ยังมิใช่ที่ปลอดภัย...เพราะ..??? เพราะเมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องกลับไปเกิดในอบายภูมิเป็นส่วนมาก ปรากฏความในพระคัมภีร์ว่า

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้ปลายพระนขา(เล็บ)ช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ..“ภิกษุทั้งหลาย เธอเข้าใจความข้อนี้อย่างไร ฝุ่นที่เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมากับแผ่นดินใหญ่นี้อย่างไหนจะมากกว่ากัน

ภิกษุทูลตอบว่า ....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นที่ปลายพระนขามีเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว คำนวนไม่ได้ เทียบกัน ไม่ได้ หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว

ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติเทวดามาเกิดในเทวดามีจำนวนน้อย ส่วนเทวดาที่เคลื่อนจากสวรรค์แล้วไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรตมีจำนวนมากกว่า พวกเทพชั้น เวหัปผลาที่ไม่ได้สดับพุทธธรรมมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป เมื่อสิ้นอายุให้ระยะเวลาที่เป็นกำหนดอายุหมดไปแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง[19]

พระองค์ตรัสเปรียบเทียบให้พระภิกษุฟังว่า.... “ เมื่อพรหมเคลื่อนจากภพของตนแล้ว ที่จะได้กลับไปเกิดเป็นพรหมอีกหรือไปเกิดในภูมิที่ตํ่าลงมามีจำนวนน้อยแต่เทวดาที่ต้องไปตกนรกมีจำนวนมาก... เทียบได้กับจำนวนฝุ่นที่ปลายเล็บกับผืนดินทั้งปฐพี ฉะนั้น”

สรุปว่า ถ้ายังไม่บรรลุอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่าไป โดยไม่ขึ้นกับศาสนา หรือศาสดาองค์ใด เพราะนี่คือกฎธรรมชาติ ถึงไม่มีใครเชื่อก็ยังคงเป็นอย่างนี้ เพราะนี้คือ กฎธรรมชาติ

ที่มา
http://www.watklaikangwon.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=5378092

บทความที่ได้รับความนิยม