วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การจัดประเภทของการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์

การจัดประเภทของการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์


ภาพการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ในระดับ X1.9 เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2011จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศ Solar Dynamics Observatory (SDO)
เครดิต : NASA / SDO


การระเบิดขนาดยักษ์บนดวงอาทิตย์ก่อให้เกิดการลุกจ้าและส่งพลังงานแสงรวมทั้งอนุภาคความเร็วสูงออกสู่อวกาศ การลุกจ้าเหล่านี้มักจะเกี่ยวข้องกับการเกิดพายุพลังงานแม่เหล็กดวงอาทิตย์หรือที่รู้จักกันในชื่อพายุสุริยะเป็นการปลดปล่อยมวลโคโรนา Coronal Mass Ejections (CMEs) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พบมากบนดวงอาทิตย์ในขณะนี้ นอกจากนั้นดวงอาทิตย์ยังสามารถปล่อยกระแสโปรตรอนได้อย่างรวดเร็ว หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของอนุภาคพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ Solar Energetic Particle (SEP) และการแปรปรวนของลมสุริยะ Corotating Interaction Regions (CIRs) ทั้งหมดนี้สามารถก่อให้เกิดพายุสุริยะที่แตกต่างกัน การเกิดพายุสุริยะหากมีความรุนแรงอาจไปรบกวนระบบ การส่ือสาร วิทยุคลื่นระยะสั้น สัญญาณGPS และสายไฟฟ้าบนโลกได้

ปริมาณกิจกรรมบนดวงอาทิตย์จะเพิ่มขึ้นประมาณทุกๆ 11 ปี และในขณะที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนไปสู่ช่วงที่มีจุดบนดวงอาทิตย์สูงสุดซึ่งมีแนวโน้มว่าจะอยู่ในช่วงประมาณปี 2013 นั้นหมายความว่าดวงอาทิตย์จะเกิดการปล่อยพลังงานจากการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ได้มากขึ้น

องค์การมหาสมุทรและบรรยากาศของสหรัฐอเมริกา หรือ (NOAA) ได้มีการวางแผนจำแนกหมวดหมู่ของการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ และพายุสุริยะ โดยการลุกจ้าขนาดใหญ่บนดวงอาทิตย์นี้ จะเรียกว่า การลุกจ้าระดับ X ซึ่งการจำแนกการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์จะแบ่งตามระดับความรุนแรงของการลุกจ้า โดยการลุกจ้าขนาดเล็กที่สุดจะอยู่ในระดับ A - class ตามด้วย B,C,M, และ X คล้ายกับมาตราริกเตอร์วัดแผ่นดินไหว ซึ่งจะแสดงถึงพลังงานที่เกิดจากการลุกจ้าเพิ่มขึ้น 10 เท่าของตัวอักษรแต่ละตัว ดังนั้น X จะมีค่าพลังงาน 10 เท่า ของระดับ M และจะมีค่าพลังงานเป็น 100 เท่าของระดับ C ซึ่งหมายความว่าในแต่ละตัวอักษรจะมีตัวเลขระดับขนาด 1-9 ระดับ

หากจะกล่าวถึงผลกระทบจากการลุกจ้านี้นักวิทยาศาสตร์ได้ให้ข้อมูลว่า การลุกจ้าระดับ C จะมีพลังงานที่อ่อนเกินกว่าที่จะส่งผลกระทบต่อโลก แต่ในระดับ M สามารก่อให้เกิดความเสียหายตอวิทยุคลื่นส้ันๆ และยังมีพายุรังสีที่อาจเป็นอันตรายกับนักบินอวกาศ และการลุกจ้าระดับ X แม้ว่า X1 จะเป็นตัวอักษรลำดับสุุดท้าย แต่พลังงานจากการลุกจ้าก่อให้เกิดพลังงานมากกว่า 10 ระดับ ดังนั้นการลุกจ้าในระดับ X สามารถก่อให้เกิดพลังงานสูงกว่าระดับ 9 ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบอิเลคทรอนิคบนโลก สำหรับการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ที่มีความรุนแรงที่สุดที่วัดได้โดยวิธีที่ทันสมัยเม่ือปี 2003 ในช่วงที่มีจุดบนดวงอาทิตย์สูงสุด ซึ่งเซนเซอร์สามารถวัดได้ในระดับที่ X15 แต่จากการคาดการณ์คาดว่าจะสูงถึงระดับ X28

เนื่องจากปัจจุบันดวงอาทิตย์อยู่ในช่วงที่มีจุดบนดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นจนถึงช่วงที่มีจุดบนดวงอาทิตย์สูงสุดจึงทำให้เราเห็นการเกิดกิจกรรมบนดวงอาทิตย์มากขึ้น การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ระดับ X ครั้งแรกของวัฏจักรสุริยะปะทุขึ้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2011 และมีเพิ่มมากขึ้นในช่วงฤดูร้อน เมื่อวันที 23 มกราคม 2012 ดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยพลังงานที่ระดับ M8.7


ภาพการปลดปล่อยอนุภาคพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ solar energetic particle (SEP) ที่ก่อให้เกิดการรบกวนที่ดูเหมือนมีหิมะ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2012 จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศ Solar Heliospheric Observatory (SOHO) เครดิต : SOHO / ESA และ NASA


ทั้งนี้องค์การนาซา, องค์การมหาสมุทรและบรรยากาศของสหรัฐอเมริกา (NOAA),หน่วยงานกองทัพอากาศสหรัฐ (AFWA) และอืนๆ ได้เฝ้าสังเกตการณ์ค่าพลังงานที่เกิดจากการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ว่าอยู่ในระดับใด และจะมีความรุนแรงมากพอที่จะเป็นพายุสุริยะได้หรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพือป้องกันผลกระทบกับยานอวกาศ ดาวเทียม และระบบเทคโนโลยี เป็นต้น

ที่มา
http://www.narit.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=351:-coronal-mass-ejections&catid=1:astronomy-news&Itemid=4

อลังการ! น้ำตกหูโข่วกลายเป็นเมืองน้ำแข็ง


ปกติ


กลายเป็นน้ำตกแข็ง(ตั้งเอง อิอิ)


อลังการ! น้ำตกหูโข่วกลายเป็นเมืองน้ำแข็ง

น้ำตกหูโข่ว ในมณฑลซานซีของจีน กลายเป็นเมืองน้ำแข็งสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก

วันนี้ (8 กุมภาพันธ์) เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษรายงานว่า จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในประเทศจีน ทำให้น้ำตกหูโข่วขาวโพลนเป็นน้ำแข็งอย่างสวยงามและอลังการ ซึ่งกำลังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ประชาชนชาวจีนกำลังนิยมอยู่ในขณะนี้

สำหรับภาพความสวยงามของน้ำตกหูโข่วในฤดูหนาวนี้ เป็นความสวยงามที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อันเนื่องมาจากความชื้นในอากาศเพิ่มสูงขึ้น บวกกับลมหนาวที่ผาดผ่านทางใต้ของจีน ส่งผลให้สายน้ำในน้ำตกหูโข่ว กลายเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว และเมื่อแสงแดดมากระทบกับน้ำแข็ง ทำให้เกิดประกายแวววับอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ส่งผลให้ประชาชนต่างแห่มาชมความงดงามของน้ำตกแห่งนี้กันอย่างเนืองแน่นเลยทีเดียว

ทั้งนี้ น้ำตกหูโข่ว ถือได้ว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของจีน ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเฝินซี มณฑลซานซีไปทางตะวันตก 165 กิโลเมตร และห่างจากอำเภออี๋ชวน มณฑลส่านซี ไปทางตะวันออก 50 กิโลเมตร









ที่มา
http://travel.kapook.com/view37046.html

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ญี่ปุ่นหิมะตกหนัก ดับแล้ว 53 - ยุโรปพุ่ง 80 ศพ



ญี่ปุ่นหิมะตกหนัก ดับแล้ว 53 - ยุโรปพุ่ง 80 ศพ



หลังจากเกิดพายุหิมะในแถบยุโรป ทำให้สภาพอากาศหนาวเย็นจัดขั้นติดลบ คร่าชีวิตประชาชนไปกว่า 80 คนเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ล่าสุด มีรายงานว่า ในประเทศแถบเอเชียอย่างญี่ปุ่นก็ต้องเผชิญกับปัญหาหิมะตกหนักและสภาพอากาศเย็นจัด ส่งผลให้ประชาชนกว่า 53 คนเสียชีวิต และป่วยหนักอีกหลายร้อยคน


เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เว็บไซต์ไมนิจิเดลี่นิวส์ของญี่ปุ่น รายงานว่า เกิดพายุหิมะถล่มทางตอนเหนือและตะวันตกของญี่ปุ่นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คร่าชีวิตประชาชนไปแล้ว 53 คน บาดเจ็บและป่วยหนักอีกหลายร้อยคน


รายงานระบุว่า พายุหิมะได้พัดถล่มเกาะฮอกไกโดและเขตภาคโทโฮะกุของญี่ปุ่น ซึ่งครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด ได้แก่ อะโอโมริ, นากาโนะ, อะกิตะ, นีงาตะ และฮอกไกโด ทำให้หิมะตกลงมาปกคลุมพื้นดินและบ้านเรือนประชาชน โดยเฉพาะในเมืองเมียวโกะ จังหวัดนากาโนะ มีหิมะปกคลุมหนาถึง 3 เมตรเลยทีเดียว ทำให้โรงเรียน 14 แห่งต้องประกาศหยุดเรียน ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นก็เร่งส่งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยกวาดหิมะตามบ้านเรือนและสถานที่ต่าง ๆ


จากเหตุการณ์หิมะตกหนักนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 53 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ทนรับกับสภาพอากาศหนาวจัดไม่ไหว อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่เกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากหลังคาบ้านขณะขึ้นไปกวาดหิมะหรือถูกหิมะถล่มทับ นอกจากนี้ ยังทำให้ประชาชนล้มป่วยอีก 574 คน และส่วนใหญ่ก็ล้มป่วยจากสภาพอากาศหนาวเหน็บ


อย่างไรก็ดี ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นได้จัดสรรงบประมาณรับมือภัยพิบัติฉุกเฉินเพื่อใช้ในการเก็บกวาดหิมะตามสถานที่ต่าง ๆ ไว้แล้ว และได้แนะนำให้ผู้ที่ออกไปเก็บกวาดหิมะทำงานกันเป็นกลุ่ม และอย่าลืมสวมใส่อุปการณ์นิรภัยเพื่อป้องกันหิมะถล่มทับ ขณะที่กรมพยากรณ์อากาศก็ได้ออกมาเตือนประชาชนว่า จังหวัดในพื้นที่โทโฮะกุอาจต้องเผชิญกับหิมะตกหนักไปอีกหลายวัน จึงขอให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้ต่อไปอีกสักพัก




ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/67106

ตะลึง! ธารน้ำแข็งขนาดยักษ์กำลังแตกจากขั้วโลกใต้



ตะลึง! ธารน้ำแข็งขนาดยักษ์กำลังแตกจากขั้วโลกใต้

นักวิทยาศาสตร์จับตามอง รอยแยกธารน้ำแข็งขนาดใหญ่กำลังปริแตกจากขั้วโลกใต้ขึ้นเรื่อย ๆ คาดเป็นปรากฏการณ์ธารน้ำแข็งแตกออกครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่งของโลก


วันนี้ (2 กุมภาพันธ์) เว็บไซต์ข่าวของประเทศนิวซีแลนด์ รายงานว่า ภาพถ่ายจากดาวเทียมขององค์การนาซ่าล่าสุด ได้แสดงให้เห็นปรากฏการณ์อันน่าตกใจ เนื่องจากธารน้ำแข็งไพน์ไอร์แลนด์ ในทวีปแอนตาร์คติกา ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่เท่ากับนิวยอร์ค กำลังจะแตกออกจากขั้วโลกใต้


รายงานระบุว่า ภาพถ่ายดาวเทียมดังกล่าวนี้ ถ่ายไว้โดยยานอวกาศเทอร์รา ขององค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐ หรือ นาซ่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2554 ปรากฏให้เห็นภาพของธารน้ำแข็งซึ่งมีรอยแตกยาวถึง 30 กิโลเมตร และมีแนวโน้มว่ารอยแยกนี้จะขยายมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์กันว่า จะเป็นปรากฏการณ์การแตกออกของธารน้ำแข็งครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง และจะเกิดการเคลื่อนตัวออกมาอีกด้วย


ทั้งนี้ บริเวณธารน้ำแข็งไพน์ไอร์แลนด์ กำลังถูกจับตามองจากนักวิทยาศาสตร์มากที่สุด เนื่องจากเป็นเกาะน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ และไม่เสถียร เกิดการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามระดับน้ำทะเลที่ไม่คงที่ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/67202

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หนาวเฉียบพลัน! ยุโรปตะวันออก ตายพุ่งกว่า 60 ราย

หนาวเฉียบพลัน! ยุโรปตะวันออก ตายพุ่งกว่า 60 ราย


สภาพอากาศที่หนาวเย็นลงอย่างเฉียบพลัน ติดลบกว่า 20 องศา ในประเทศแถบยุโรปตะวันออก ทำให้ยอดผู้เสียชีวิต พุ่งมากกว่า 60 คนแล้ว

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานความคืบหน้า สภาพอากาศที่หนาวเย็นอย่างเฉียบพลันลงในประเทศแถบยุโรปตะวันออก ที่ติดลบกว่า 20 องศา ว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิต กว่า 60 คนแล้ว และอีกพันกว่าคน ต้องล้มป่วย โดยทำให้บางประเทศต้องขอให้ทหารนำอาหาร ยา และที่พักอาศัยมาช่วยเหลือผู้ประสบภัย และผู้ที่ไร้ที่อยู่อาศัยเจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศ กล่าวว่า อากาศหนาวเช่นนี้ จะเกิดขึ้นไปจนกระทั้งถึงวันศุกร์นี้ และคาดว่าจะมีหิมะตกหนักทั่วเขตภูมิภาค

อากาศหนาวจัดทั่วยุโรป คร่า 36 ชีวิต

อากาศหนาวจัดด้วยอุณหภูมิติดลบในยุโรป คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 36 คน เจ้าหน้าที่ต้องเปิดสถานสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพีรายงานว่า จากเหตุการณ์หิมะตกหนักทั่วยุโรปตอนกลางและยุโรปตะวันออกนั้น ได้คร่าชีวิตคนไปแล้วกว่า 36 คน ไฟฟ้าภายในเมืองถูกตัด และ การจราจรติดขันเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มีการระดมเจ้าหน้าที่จำนวนมากออกมาช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยเฉพาะคนแก่และคนจรจัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำตั้งแต่เปิดสถานสงเคราะห์จนถึงแจกจ่ายชาร้อน ๆ แต่ข่าวร้ายยังไม่หมดแค่นั้น เพราะกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกมาประกาศว่า อากาศจะหนาวต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ผู้คนในพื้นที่เหล่านี้ต่างไม่คุ้นชินกับอากาศหนาว แต่หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา อุณหภูมิลดลงจนถึงขั้นหนาวจัดหลังจากที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาที่อากาศอบอุ่นกำลังดี ส่งผลให้มีคนช็อกกับสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อวันจันทร์ที่อุณหภูมิลดต่ำสุดถึงขั้น ติดลบ 20 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ประกาศให้ประชาชนทุกคนอยู่ในบ้านและระวังความปลอดภัย และมีการจัดกำลังตำรวจเพื่อออกคนหาคนจรจัด ก่อนที่จะหนาวตาย ป้ายรถเมล์บางแห่งก็มีการเปิดเครื่องทำความร้อนอีกด้วย

ทั้งนี้ ในประเทศยูเครน มีคนตายไปแล้วด้วยสภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติกว่า 18 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจรจัด และอีกกว่า 500 คนต้องเข้ารับการรักษาตัวเนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลายเพราะเย็นจัดและร่างกายมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ อุณหภูมิในพื้นที่บางแห่งในยูเครนติดลบถึง 16 องศาเซลเซียสในตอนกลางวัน และติดลบ 23 องศาในตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่จึงต้องเปิดสถานสงเคราะห์กว่า 1,500 แห่ง เพื่อแจกจ่ายอาหารและให้ผู้คนมาพักเพื่อหลบอากาศหนาว ซ้ำยังต้องปิดโรงเรียนและเนอสเซอรี่อีกด้วย และในสามวันที่ผ่านมา มีผู้คนกว่า 17,000 ที่ร้องขอความช่วยเหลือจากสถานสงเคราะห์แบบนี้

นอกจากในยูเครนแล้ว ที่กรุง ปราก สาธารณรัฐเช็ก เจ้าหน้าที่ก็ต้องจัดหาเต็นเพื่อให้คนจรจัดกว่า 3,000 คนได้พักพิง อากาศที่หนาวเย็นส่งผลให้รถไฟต้องเดินทางช้าลงเนื่องจากรางรถไฟมีหิมะเกาะหนา หรือแม้กระทั่งในประเทศโรมาเนีย ที่มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์อากาศหนาวจัด 4 คน เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งนักโทษในเรือนจำไปตักหิมะออกจากทางที่มุ่งหน้าไปสู่สถานสงเคราะห์ ซึ่งมีสุนัขและลูกสุนัขรวมอยู่ด้วยกว่า 300 ตัว




ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/67106

เม็กซิโก เผชิญภัยแล้งหนักสุดในรอบ 71 ปี

เม็กซิโก เผชิญภัยแล้งหนักสุดในรอบ 71 ปี


ฝนที่ตกลงมาในสัปดาห์นี้ อาจจะช่วยคลายสถานการณ์แล้งจัดในเม็กซิโกได้บ้าง แต่นั่นคงไม่เพียงพอที่จะบรรเทาเหตุการณ์ในภาพรวม


เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ประเทศเม็กซิโก กำลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 71 ปี ซึ่งส่งผลต่อ 19 จาก 31 รัฐในประเทศ จนทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำ และสร้างผลกระทบต่อคนกว่าครึ่งประเทศ โดยทางรัฐบาลเม็กซิโก ได้กล่าวว่า ภัยแล้งในครั้งนี้ เป็นผลมาจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง


ทั้งนี้ มีการประเมินกันว่า คนกว่า 2 ล้านคน ในกว่า 900 ชุมชน ต่างได้รับผลกระทบจากสภาวะแล้งจัด และทางรัฐบาลได้จัดส่งน้ำกว่า 400 ล้านลิตร เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อพืชผลทางการเกษตรเสียหายกว่า 2 ล้านไร่ และสัตว์ล้มตาย 1.7 ล้านตัว


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในสัปดาห์นี้ จะมีฝนตกในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ ทาเมาลิพาส (Tamaulipas) และรัฐอื่น ๆ ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งจะช่วยบรรเทาภัยแล้งลงไปได้ แต่ทางรัฐบาล ก็ยังคงยืนยันเดินหน้าให้ความช่วยเหลือต่อไป ซึ่งในรัฐดูเเรงโก้ (Durango) เจ้าหน้าที่รัฐบาลได้ประกาศว่า มีการอนุมัติเงินกว่า 184 ล้านเปโซ หรือกว่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในรัฐ ที่กำลังขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง


ด้านนายโฆเซ่ อันโตนิโอ เปเรซ เควสเนล เจ้าหน้าที่รัฐซิโนเลา กล่าวว่า ภัยแล้งในปีนี้เป็นเรื่องที่สาหัสมาก และสิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือ การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ผู้ประสบภัยทุกคนจะต้องได้รับน้ำสะอาดและอาหารทั้งหมด


นอกจากนี้ ผู้คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ชนพื้นเมืองที่มีชื่อว่า ทาราฮูมาร่า ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือในประเทศเม็กซิโก โดยมีรายงานว่า มีคนตายเพราะความหิวจากเหตุการณ์ภัยแล้งในครั้งนี้ ส่งผลให้รัฐบาลต้องจัดส่งความช่วยเหลือไปให้ทั้ง 23 เมืองในภูมิภาค ด้านนายมานูเอล กอนศาเลซ ชาวนาจากรัฐ ชิวาว่า กล่าวว่า เขาปลูกถั่วอยู่หลายไร่ และเมื่อฝนตก เขาก็สามารถเก็บเกี่ยวถั่วไปได้มากกว่า 2 ตัน แต่ตอนนี้ เขาเก็บถั่วได้ไม่เกินถุงเล็ก ๆ ถุงหนึ่งเท่านั้น


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/67155

บทความที่ได้รับความนิยม