วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นาซ่าเผย ดาวอะโพฟิสพุ่งชนโลก เป็นไปได้น้อย

นาซ่าเผย ดาวอะโพฟิสพุ่งชนโลก เป็นไปได้น้อย



หลังจากที่เคยสร้างความฮือฮาให้กับคนทั่วโลกมาแล้วเมื่อ 6 ปีก่อน สำหรับเรื่องราวของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 (99942 Apophis) ที่นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้คาดการณ์ว่า มันกำลังจะพุ่งชนโลกในอีก 25 ปีข้างหน้า มีอำนาจทำลายล้างโลกกว่าครึ่งโลกให้พังพินาศไปกับตา ซึ่งข่าวนี้ก็สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับคนทั่วโลกได้ไม่น้อยเลยในขณะนั้น

ล่าสุด ประเด็นดังกล่าวได้ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อันอีกครั้ง โดยอ้างจากข้อมูลการคาดการณ์ของ ศาสตราจารย์ลีโอนิด โซโคลอฟ จากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ที่ระบุว่า ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 จะเคลื่อนที่เข้าเฉียดโลกในระยะใกล้มาก ประมาณ 34,400 กิโลเมตร ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2572 และมีแนวโน้มจะพุ่งเข้าชนโลกในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2579 โดยการพุ่งชนโลกครั้งนี้ จะสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับโลก ภูมิภาคกว่าครึ่งโลกอาจจะหายไป และคนบนโลกอาจต้องสังเวยชีวิตเป็นจำนวนมากถึง 10 ล้านคนเลยทีเดียว ถือเป็นวันล้างโลกตามพระคัมภีร์ของคริสต์อย่างแท้จริง

แต่แม้ว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวจะฟังดูน่ากลัว และถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางเพียงใด เห็นทีว่ามันจะกลายเป็นการคาดคะเนลอย ๆ ที่ยากจะเกิดขึ้นจริงเสียแล้ว เมื่อล่าสุด นาซ่าได้ออกมาเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วว่า ปรากฎการณ์ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 พุ่งชนโลกที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์กันนี้ แทบไม่มีอะไรต้องกังวลเลย เพราะมันมีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 1 ใน 250,000 หรือ 4 ในล้านเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก จนแทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลยทีเดียว

โดยนายโดนัลด์ เยโอแมนส์ นักดาราศาสตร์จากนาซ่า ได้เปิดเผยว่า มันเป็นความจริงที่ว่า วันหนึ่งดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 จะพุ่งเข้าชนโลก แต่การคาดการณ์จากนักวิทยาศาสตร์ที่ว่ามันจะพุ่งชนโลกในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2579 นั้น มีความเป็นไปได้น้อยมาก เพียง 1 ใน 250,000 เท่านั้น เรียกว่าแทบไม่มีอะไรต้องกังวลเลย แต่ถ้าหากปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง การพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสก็จะมีอำนาจการทำลายล้างโลกเท่ากับวัตถุ 150 ล้านตันพุ่งชนโลกเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าปรากฎการณ์ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 พุ่งชนโลก จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ทางนาซ่าได้คอยติดตามการเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์อะโพฟิส 99942 อย่างต่อเนื่อง และได้มีการวางแผนรับมือกรณีดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสพุ่งชนโลกแล้ว ซึ่งถ้าหากมันเคลื่อนที่พุ่งชนโลกเมื่อไร ทางนาซ่าจะส่งยานอวกาศบินเข้าไปประกบและเบี่ยงเบนเส้นทางการโคจรของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสให้พ้นจากโลก เพื่อให้โลกได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สำหรับดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส 99942 (99942 Apophis) ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2547 โดยในตอนแรกถูกเรียกว่า 2004 MN4 มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 350 เมตร หรือประมาณสนามฟุตบอล 2 สนาม มีรอบวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ 323 วัน


คลิปจำลองปรากฎการณ์ ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสชนโลก


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/56179

รัสเซียฟันธง'วันสิ้นโลก2036' มนุษย์สังเวย10ล้านชีวิต

รัสเซียฟันธง'วันสิ้นโลก2036' มนุษย์สังเวย10ล้านชีวิต!



ภาพยนตร์เรื่อง 2012 วันสิ้นโลก หนังฮอลลีวู้ดเมื่อหลายปีก่อน ทำเอามนุษย์โลกหวาดผวาและตื่นกลัวว่าโลกจะถึงกาลแตกดับลงจริงๆ จากคำทำนายของหลายสำนักที่หนังนำมาอ้างอิง แต่นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ชาติมหาอำนาจด้านอวกาศที่มีเทคโนโลยีด้านอวกาศก้าวหน้าไม่แพ้สหรัฐออกมาฟันธงว่า ระบุวันอาร์มาเก็ดดอน หรือวันสิ้นโลกตามพระคัมภีร์ของคริสต์ได้แล้ว โดยไม่ได้อยู่ในปี ค.ศ.2012 แต่จะเกิดขึ้นในอีก 24 ปีข้างหน้า หรือในปี ค.ศ.2036 (พ.ศ.2579)

ศ.ลีโอนิด โซโคลอฟ จากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์ สเบิร์กในรัสเซีย กล่าวว่า อุกกาบาตที่ชื่อ อะโพฟิส รหัส 99942 มฤตยูที่จะเดินทางมาชนโลก จะเข้ามาใกล้โลกที่ระยะ 37,000-38,000 กิโลเมตร ในวันที่ 13 เม.ย.2029 และมีแนวโน้มจะเข้ามาชนโลกในวันที่ 13 เม.ย.2036

ย้อนไปเมื่อปี 2547 มีการค้นพบอุกกาบาต อะโพฟิส รหัส 99942 ครั้งแรกว่าเป็นวัตถุอวกาศที่จะเข้ามาอยู่ในโซนอันตรายต่อโลก มีขนาดกว้าง 300 เมตร

เครื่องมือจำลองสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยเซาท์แธมป์ตันในอังกฤษชี้ว่า ความเสียหายจะเลวร้ายมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มันพุ่งชน ส่วนที่เลวร้ายที่สุดประเมินว่าจะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 10 ล้านราย แต่ก็ยังมีหลายเหตุผลที่ปลอบไม่ให้ตื่นตระหนก หนึ่งในนั้นคือความจริงที่ว่า มันอาจจะแตกตัวและเศษเล็กเศษน้อยอาจจะตกลงมาใส่โลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อีกเหตุผลที่ไม่ควรกลัวคือโลกจะได้รับคำเตือนก่อนแน่นอน

โดนัลด์ เยียแมนส์ หัวหน้าสำนักงานวัตถุใกล้โลกขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซ่า กล่าวว่า ในปี 2029 เมื่อมันแกว่งเข้ามาใกล้โลก เราจะพบว่าอะโพฟิสมีหลุมแรงดึงดูดที่จะลากมันเข้ามาในวงโคจรโลกในอีก 7 ปีให้หลังหรือไม่ ช่องว่างมีเพียงแค่ 600 เมตร ดังนั้น จึงยังพอมีโอกาสที่มันจะไม่เกิดขึ้น

ศ.โซโคลอฟ กล่าวด้วยว่า ภารกิจของนักวิทยาศาสตร์รัสเซียเวลานี้คือการพิจารณาทางเลือกและพัฒนาโครงการและแผนปฏิบัติการเพื่อรับมือกับอะโพฟิส


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNVEUwTURJMU5BPT0=§ionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1TMHdNaTB4TkE9PQ==

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse) กำลังระเบิด

ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse)

เป็นข่าวฮือฮาออกมาว่า โลกของเราใกล้อวสานเข้าไปอีกครั้ง เมื่อดาวบีเทลจุส (Betelgeuse)กำลังจะระเบิด แต่มันมีผลอย่างไร ลองอ่านดู



เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์เผยโลกอาจจะเกิดปรากฎการณ์พระอาทิตย์สองดวงขึ้นในเร็ว ๆ นี้ หลังจากมีการตรวจสอบพบว่า ดาวบีเทลจุสกำลังจะระเบิด ซึ่งทำให้ชาวโลกได้เห็นแสงของมันสว่างเท่ากับดวงอาทิตย์ กินเวลานานประมาณ 1-2 สัปดาห์

โดย แบรด คาร์เตอร์ อาจารย์ฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมาว่า ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse) ดาวซูเปอร์ยักษ์แดงนอกระบบสุริยะที่มีขนาดเทียบเท่ากับดวงอาทิตย์ 1.6 พันล้านดวง อยู่ห่างจากโลกไปกว่า 640 ปีแสง กำลังจะหมดอายุขัยและเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ หรือ "ซูเปอร์โนวา" ขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยการระเบิดของบีเทลจุสนี้ จะทำให้ชาวโลกได้เห็นแสงสว่างของมันใหญ่เท่ากับดวงอาทิตย์อยู่บนฟ้า และเปล่งแสงสว่างจ้าทั้งยามกลางวันและกลางคืน เป็นเวลายาวนานกว่า 1-2 สัปดาห์ ก่อนจะค่อย ๆ หรี่แสงและดับลงในที่สุด โดยกินเวลาอยู่อีกหลายเดือนกว่าจะดับลง แต่ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับโลก นอกจากการมองเห็นแสงสว่าง เป็นดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 เท่านั้น

แบรด คาร์เตอร์ เปิดเผยอีกว่า การระเบิดครั้งใหญ่ของมันครั้งนี้ ถือว่าเป็นซูเปอร์โนวาครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่กำเนิดโลกมาเลยทีเดียว เพราะมันเป็นดาวยักษ์ใหญ่แดงที่มีขนาดใหญ่มาก และเปล่งแสงมากกว่าดวงอาทิตย์กว่าแสนเท่า ดังนั้น เมื่อมีการระเบิดอย่างรวดเร็ว ก็จะทำให้แสงสว่างจากการระเบิดของมันเปล่งไปถึงระบบสุริยะอื่นที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันปีแสงได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ได้มีการคาดคะเนจากนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน เกี่ยวกับการเกิดซูเปอร์โนวาของดาวบีเทลจุสนี้ แต่ไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่าซูเปอร์โนวาครั้งใหญ่ที่สุดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด อาจในเร็ว ๆ นี้ หรือคลาดเคลื่อนไปจากการคาดคะเนกว่าพันปี ล้านปี ไม่มีใครรู้ แต่จากการสังเกตจากนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ พบว่า จากภาพที่เห็นบนโลกในขณะนี้ ดาวบีเทลจุสใกล้จะสิ้นอายุขัยเต็มที และอาจเป็นไปได้ว่า ดาวบีเทลจุสอาจจะระเบิดไปหลายร้อยปีแล้ว แต่แสงที่เกิดจากการระเบิดนั้นยังไม่เดินทางมายังโลกเท่านั้น และหากมันระเบิดขึ้นและแสงของมันเดินทางมาถึงโลกเมื่อไร ก็จะกลายเป็นปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ดาวบีเทลจุส เป็นดาวซูเปอร์ยักษ์แดงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในทุกค่ำคืน มีแสงสว่างเป็นลำดับที่ 9 บนฟ้า และเป็นดาวที่สว่างเป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่มดาวนายพราน เปล่งแสงสว่างไม่คงที่ในแต่ละปี โดยจะค่อย ๆ สว่างมากที่สุดและจางลงเรื่อย ๆ ก่อนกลับมาสว่างจ้าอีกครั้งทุก ๆ 5.8 ปี

ส่วนอายุของดาวบีเทลจุสนั้น นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่ามันน่าจะมีอายุประมาณ 10 ล้านปีเท่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงอายุที่ใกล้จะถึงจุดจบของมันเต็มที เพราะโดยปกติแล้วดาวดวงใหญ่ ๆ นี้จะมีอายุขัยสั้นกว่าดาวดวงเล็ก ๆ มาก เนื่องจากเป็นดาวขนาดมหึมาที่มีมวลมาก สว่างมาก และมีอุณหภูมิสูงมาก จึงมีการใช้พลังงานมากกว่าและไฮโดรเจนภายในก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อมันเกิดการระเบิด แรงระเบิดของมันจะขับไล่ดวงดาวและวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้ให้กระเด็นออกไปด้วยความเร็วแสง เกิดคลื่นกระแทกระหว่างดาวอย่างรุนแรง ซึ่งการแพร่กระจายของคลื่นกระแทกจากการระเบิดนี้ สามารถทำให้เกิดดวงดาวน้อยใหญ่ดวงใหม่ ๆ ได้อีกมากมายเลยทีเดียว

ที่มา
kapook.com

หรือนี่จะเป็นการล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตอีกครั้ง เหมือนครั้งไดโนเสาร์ที่ผ่านมาเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างที่เราทำขึ้นมาตอนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์ แต่เขาว่าอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ มันอาจจะไม่ร้ายแรงก็ได้ ใจเย็นๆ


ทำบุญเยอะๆ นะ ช่วยได้แน่ คนมีบุญเพียงพอเท่านั้นที่จะอยู่รอด

พายุไซโคลนยาซี พัดเข้าชายฝั่งออสเตรเลียแล้ว

พายุไซโคลนยาซี พัดเข้าชายฝั่งออสเตรเลียแล้ว


พายุไซโคลนยาซี พัดเข้าสู่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียแล้ว ขณะที่ทางการเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่

พายุไซโคลนยาซี ซึ่งมีแรงลมใกล้ศูนย์กลางกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พัดเข้าสู่ชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ กว่า 400,000 คน ตลอดความยาวของแนวชายฝั่ง 370 ไมล์ รวมทั้งในเมืองแคร์นส์, ทาวน์สวิลล์ เมื่อวันพฤหัสบดี (3 กุมภาพันธ์) ตามเวลาท้องถิ่นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทางการได้มีการอพยพประชาชนนับหมื่นคน ไปหลบอยู่ในสถานที่พักฉุกเฉิน ก่อนที่พายุไซโคลนยาซีจะพัดถล่ม ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนว่า พายุไซโคลนยาซี อาจมีทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย

นอกจากนี้ เที่ยวบินจำนวนมาก ได้ขนย้ายนักท่องเที่ยวและผู้คนออกจากเมืองแคร์นส์, ทาวน์สวิลล์หนีพายุดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงเช้าวันพุธ ก่อนสนามบินทั้งหมดจะถูกปิด

ขณะที่ แอนนา บลายห์ นายกรัฐควีนส์แลนด์ กล่าวเตือนให้ประชาชนเตรียมใจรับความเสียหายที่ต้องเผชิญ "เราอาจต้องหัวใจสลายและเผชิญกับสภาพการทำลายล้างในระดับที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ประเทศของเราไม่เคยรับมือกับสิ่งใดที่เหมือนกับไซโคลนลูกนี้มาก่อน"

สำหรับ พายุไซโคลนยาซี คาดจะมีความรุนแรงที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ เทียบเท่าเฮอริเคนแคทรีนา และพายุไซโคลนยาซีลูกนี้เป็นภัยธรรมชาติล่าสุดที่ซ้ำเติมรัฐควีนส์แลนด์ ที่เพิ่งประสบอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ หลังจากพายุโซนร้อนหลายลูกทำให้ฝนตกหนักนับแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน คาดว่าเส้นทางที่มันเคลื่อนผ่านจะกระทบต่อประชาชนมากกว่า 400,000 คนตั้งแต่ในเมืองแคร์นส์, ทาวน์สวิลล์ และแม็กเคย์ เมืองริมชายฝั่งเหล่านี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของพวกแบกเป้เที่ยว และนักดำน้ำดูปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ

ภาพถ่ายดาวเทียมเผยให้เห็นขนาดของพายุที่ครอบคลุมบริเวณกว้างใหญ่กว่าอิตาลี หรือนิวซีแลนด์ บลายห์กล่าวว่าอันตรายที่สุดของมันคือคลื่นยักษ์ซัดฝั่ง ที่พยากรณ์อากาศทำนายว่าอาจสูงถึง 7 เมตรจากระดับคลื่นสูงปกติ เครือข่ายโทรศัพท์ในพื้นที่อาจใช้การไม่ได้และประชาชนราว 150,000-200,000 คนอาจไม่มีไฟฟ้าใช้ เหมืองแร่, รถไฟ และท่าเรือขนถ่านหินปิดทำการทั้งหมดแล้ว หลังจากเจ้าหน้าที่เตือนว่าพายุอาจเคลื่อนสู่ดินแดนชั้นในนับพันกิโลเมตร ทำให้เขตชนบทและเขตทำเหมืองที่เคยประสบน้ำท่วมหลายเดือนอยู่ในความเสี่ยง

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/55828

เผยแผนที่โลกปัจจุบัน ปกคลุมด้วยน้ำแข็งไปแล้วกว่าครึ่ง


สมาคมวิจัยมหาสมุทรและบรรยากาศสากล หรือ NOAA เปิดเผยแผนที่แสดงสภาพภูมิประเทศโลกในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแผ่นดินบนโลกถูกปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งไปแล้วกว่าครึ่ง

โดยแผนที่ดังกล่าว ได้สร้างขึ้นจากภาพถ่ายดาวเทียมภาพล่าสุด แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกากว่าครึ่งถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง อันเนื่องมาจากพายุฤดูหนาวกำลังเคลื่อนตัวเข้าปกคลุม และตั้งแต่ชายฝั่งตะวันตกของแคนนาดา ไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของประเทศจีน ก็มีสภาพอากาศหนาวจัด ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะเช่นกัน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว หากรวมกับพื้นที่บริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้แล้ว ก็ถือเป็นพื้นที่เกินครึ่งของแผ่นดินบนโลกเลยทีเดียว โดยสมาคมวิจัยมหาสมุทรและบรรยากาศสากลได้ทำการวิจัยพื้นที่ที่มีน้ำแข็งปกคลุมและปริมาณหิมะ พบว่า เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แผ่นดินบนโลกถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งแล้วกว่า 59.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่กินพื้นที่เพียง 47.7% เท่านั้น ขณะที่ปริมาณหิมะที่ปกคลุมบนผิวโลกมีความหนาเฉลี่ยประมาณ 8.2 นิ้ว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากเลยทีเดียว

ทั้งนี้ สภาพอากาศทั่วโลกในช่วง 2-3 ปีมานี้ ถือว่าแปรปรวนเป็นอย่างมากที่สุด โดยปรากฎการณ์ดังกล่าว ถูกเชื่อว่ามาจากสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรของโลก และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่สูง ทำลายชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก จนทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลายกลายเป็นน้ำเย็นเฉียบในทะเล เมื่อน้ำในทะเลมีอุณภูมิต่ำลงมาก ก็มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศให้หนาวจัดในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เช่นในอเมริกาที่พายุหิมะกำลังถล่มอย่างหนักในหลายรัฐ ส่งผลให้ประชาชนต้องเผชิญกับความหนาวเย็นและหิมะที่ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณก็เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง และวิถีชีวิตของคนที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว ส่วนในประเทศจีนก็หนาวจัดกว่าทุกปีที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากความหนาวเย็นไปหลายคนแล้ว

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์หลายท่าน ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังจากวิกฤติสภาพอากาศได้เกิดขึ้นแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิง พื้นที่ที่เคยร้อนจะเปลี่ยนเป็นหนาว พื้นที่หนาวจะร้อนขึ้น และอุณหภูมิของโลกโดยเฉลี่ยก็จะสูงขึ้นอีกด้วย


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/55841

บทความที่ได้รับความนิยม